Wednesday, April 16, 2008

Twitter: What are you doing??

Twitter คือ อะไร?

Twitter เป็นบริการ social networking รูปแบบหนึ่ง (ทำนองเดียวกับ Hi5, Multiply และ Facebook) แต่มีจุดเด่นที่การสื่อสารผ่านทางข้อความสั้น (ไม่เกิน 140 ตัวอักษร) หรือที่เรียกว่า microblogging โดยเป็นการบอกเล่าว่า "What are you doing?"

ลองดูวิดีโอข้างล่างนี เข้าใจง่ายดีครับ



จุดเด่นของ Twitter?

Twitter มีช่องทางการสื่อสารให้เลือกหลายช่องทาง (web, email, SMS ผ่านทางมือถือ, instant messaging:GTalk, Jabber) ซึ่งสามารถส่งตรงถึงผู้รับได้ตามช่องทางที่กำหนด จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ เช่น รายงานข่าว ผลบอล sms บนมือถือ การแจ้งข่าว

ทำไมไม่ใช้ email หรือ group email ที่มีอยู่แล้ว?

ข้อจำกัดของ email คีอ ผู้รับต้องมาเปิด email ซึ่งความถี่ในการใช้งานขึ้นอยู่กับแต่ละคน ในบางสถานการณ์ การใช้ email อาจจะได้ผลน้อย เช่น
  • เย็นนี้จะไปกินอาหารญี่ปุ่น ใครจะไปบ้าง
  • บ่ายนี้เลื่อน conference เป็น 12.30 น. มีข้าวเลี้ยง
  • ER ยุ่งมาก ต้องการความช่วยเหลือลงเวรขาย 8-12 น.
  • เงินค่าเวรออกแล้ว
  • ข้อความบ่นอื่นๆ ที่ไม่ใหญ่พอจะตั้งเป็นหัวข้อ email ได้

เริ่มต้นใช้ Twitter
  • ไปสมัครได้ที่ http://www.twitter.com
  • ตั้งชื่อ account ตามต้องการ ใส่ email address

เปิดรับ SMS
  • login
  • ไปที่เมนู Settings -> Devices
  • ใส่เบอร์โทร พร้อมรหัสประเทศ เช่น 081 234 5678 ใส่เป็น +66812345678 จะได้รหัสมาชุดหนึ่ง
  • ใช้โทรศัพท์ ส่งรหัสที่ได้ ไปเบอร์ที่ให้ +447...
  • จะได้รับ sms ตอบกลับว่าใช้งานได้แล้ว

การ follow

ก็คือ การรับข้อความ เราอยากรับข้อความจากใครก็ไป follow คนนั้น ถ้าใครจะรับข้อความเขาก็ต้องมา follow เรา

การส่งข้อความ (Tweet)
  • พิมพ์ข้อความลงไปในกล่องกด update จะไปปรากฏใน public timeline (ทุกคนมองเห็น และจะได้รับข้อความ ถ้า follow เรา)
  • direct message คือการส่งข้อความเฉพาะบุคคล ไม่ปรากฏใน public timeline คนอื่นมองไม่เห็น ถ้าคนรับ ตั้ง device update เป็น on ก็จะได้ sms สรุปคือ ส่ง sms ไม่เสียเงิน ทำได้โดย ส่ง d <เว้นวรรค> ชื่อ <เว้นวรรค> ข้อความ
  • @replies เป็นการกำหนดข้อความถึงคู่สนทนา แต่ยังปรากฏใน public timeline ทำให้คนที่ follow เรา แต่ไม่ได้ follow คู่สนทนาของเรา ไม่ได้รับข้อความ
ยังมีการประยุกต์ใช้ Twitter ในหลากหลายรูปแบบด้วยกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการพ่วงกับ RSS, feedburner, การายงานข่าว, การเขียนบันทึก ทำให้การใช้งานกว้างขวางออกไปอีกมากครับ

Monday, April 14, 2008

E-mail และ Text messages: ลด IQ มากกว่าสูบกัญชา

นักจิตวิทยา จาก University of London รายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการใช้งาน text messaging และ email ที่มีผลต่อ IQ (สนับสนุนโดย Hewlett Packard) โดยแสดงผลของภาวะ Infomania หรือการหมกมุ่นอยู่กับการส่งข้อความผ่านทางช่องทางอิเล็คทรอนิกส์ต่าง ๆ (Electronics Messaging) ซึ่งมีสิ่งที่ทำให้วอกแวกเข้ามาตลอด กลายเป็นปัญหาสำคัญของคนทำงาน โดยเฉพาะผู้ชาย สมองจึงถูกกำหนดให้เตรียมพร้อมรับหลากหลายเรื่อง ตลอดเวลา (always on) แต่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับทางที่อยู่ตรงหน้าลดลง เป็นเหตุให้ IQ ลดลงแบบชั่วคราว

โดยการวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรก มีผู้เข้าร่วมการทดสอบ IQ 80 คน ซึ่งผู้วิจัยพบว่า มีการลดลงของ IQ โดยเฉลี่ยประมาณ 10 จุด (มากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับการสูบกัญชา ซึ่งลดลงประมาณ 4 จุด ในขณะที่การอดนอนก็ทำให้ IQ ลดลง 10 จุด) ในส่วนที่ 2 เป็นการตอบแบบสอบถาม ซึ่งพบว่า 62% มีการ”เสพติด”การเช็คข้อความ และ e-mail ที่เกี่ยวข้องกับงาน แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือในวันหยุด ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ยอมรับว่า ต้องตอบข้อความนั้น ๆ ทันที และ 1 ใน 5 จะหยุดการพบปะ หรือการประชุมเพื่อตอบข้อความ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม

ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ให้คำแนะนำแก่องค์กรที่มอบหมาย handheld communication device ให้แก่พนักงานว่า ควรกำหนด “แนวทางการใช้งาน” ให้แก่ผู้ใช้ เพื่อป้องกันการเปิดภาวะ online 24 ชั่วโมง

ตอนนี้มีเทคโนโลยีที่ทำให้เราติดต่อกันได้เร็วและง่ายขึ้นเสียด้วย ว่าแต่เจ้า Twitter นี่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีเลยหรือเปล่าครับ?

ทีมา: Why texting harms your IQ - Times Online

Friday, April 11, 2008

เพิ่ม battery icon บน Today page แบบไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม

ได้มีโอกาส upgrade เป็น Windows Mobile 6.1 บนเจ้า Dopod 818 Pro ตัวเก่า โดยใช้
WM6.1Prophet ShadoW 2.0 CE - xda-developers Pocket PC ตัวเก่าก็ได้ OS ตัวใหม่แบบไม่มีปัญหาเลยครับ แต่ติดอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ไม่มี battery icon ให้เห็นชัด ๆ อยู่ตรงไหนเลย ก็เลยพยายามจะหาโปรแกรมที่จะแสดงระดับแบตเตอรี่บนหน้าจอได้สะดวก ๆ

ก็พบว่าที่จริงแล้ว ไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรเพิ่มครับ เพราะเจ้า \Windows\powertray.exe ติดมาอยู่ใน rom อยู่แล้ว ก็เพียงแต่ run ก็จะได้ battery tray icon บน Today page แล้วครับ ถ้าต้องการให้เปิดโปรแกรมทุกครั้งที่ reboot ก็เพียงแต่สร้าง shortcut เอาไว้ที่ \Windows\Startup เท่านั้นเองครับ

ที่มา:
Battery Tray Icon [Archive] - xda-developers

Wednesday, April 09, 2008

ฤทธิ์ยาแก้ปวด: ยิ่งแพงยิ่งหายปวด

ในท้องตลาดเรามักจะเห็นยาแก้ปวดหลากหลายชนิด มีราคาต่างกันออกไปตามความเก่าใหม่ของยา ส่วนใหญ่ยาที่ออกมาใหม่ ๆ มักมีราคาแพงกว่ายาที่ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งบริษัทยาก็โฆษณาว่า ยาตัวใหม่สามารถแก้ปวดได้ดีกว่ายาตัวเก่าเสมอ

ในวารสาร Journal of The American Medical Association ฉบับวันที่ 5 มีนาคม 2008 ได้ตีพิมพ์การศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์การแก้ปวดกับราคายาที่คนไข้รับรู้ โดยทำการศึกษาในคนปกติ 82 คน โดยครึ่งหนึ่งให้กินยาหลอกที่ไม่มีผลใด ๆ ต่อการลดอาการปวด (Placebo = เม็ดแป้งธรรมดา) โดยได้รับข้อมูลว่าเป็นยาแก้ปวดขนานใหม่ที่มีราคา $2.50 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ให้กินยาหลอกตัวเดียวกัน แต่บอกว่า ยาถูกลดราคาลงมาเหลือ $0.10 แล้วนำกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มไปทดสอบให้คะแนนระดับความเจ็บปวด (visual analog scale) ตั้งแต่ 0 (ไม่ปวดเลย)-100 (ปวดมากที่สุด) โดยการช็อตด้วยไฟฟ้าในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนทนไม่ได้

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับรู้ว่ายาแก้ปวดมีราคา $2.50 สามารถลดระดับความเจ็บปวดหลังจากกินยาได้ 85.4% ในขณะที่กลุ่มที่รับรู้ว่ายามีราคา $0.10 ลดระดับความเจ็บปวดลงได้เพียง 61%

การวิจัยนี้ผู้วิจัยก็เลยสรุปผลว่า การรักษาความเจ็บปวดนั้นจะได้ผลดีหรือไม่ส่วนนึงขึ้นอยู่กับความคาดหวังของ คนไข้ ซึ่งก็เป็นไปตามความเชื่อที่ว่ายาที่แพงกว่าจะมีฤทธิ์แก้ปวดที่ดีกว่า ทำให้เรามีแนวโน้มจะหันไปหายาแพง ๆ ที่ออกมาใหม่ ๆ มาใช้รักษาอาการปวด และบริษัทผู้ผลิตยาก็สามารถขายยาใหม่ได้เรื่อย ๆ ในราคาที่สูงกว่ายาเก่า

ที่มา:
Commercial Features of Placebo and Therapeutic Efficacy Rebecca L. Waber; Baba Shiv; Ziv Carmon; Dan Ariely JAMA. 2008;299(9):1016-1017.
จาก Journal of The American Medical Association


Sunday, April 06, 2008

QWERTY vs Dvorak keyboard layout


เคยสงสัยกันบ้างไหมครับ ว่า Keyboard layout ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้มีที่มาอย่างไร? ทำไมถึงต้องมีการเรียงตัวอักษรบนแป้น keyboard แบบนี้ด้วย?

ที่จริงแล้ว keyboard layout ภาษาอังกฤษ ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย หรือที่รู้จักกันในชื่อ QWERTY นั่นถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษที่ 1860s โดยนักประดิษฐ์ที่มีชื่อว่า Christopher Scholes ผู้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีด (typewriter) ขึ้นเป็นคนแรก โดยในการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดรุ่นแรก ๆ นั้น แป้นพิมพ์ถูกเรียงตามลำดับของตัวอักษร ระบบการทำงานของเครื่องพิมพ์ดีดยุคแรกนั้น เมื่อผู้ใช้ทำการกดแป้นพิมพ์เครื่องก็จะดีดแท่นโลหะเข้าไปกระทบกับกระดาษเกิดเป็นตัวอักษรขึ้นมา การเรียงแป้นพิมพ์แบบนี้จึงมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาในกรณีที่คนพิมพ์ กดแป้นพิมพ์ตัวอักษรที่อยู่ใกล้กันในช่วงเวลาที่ติด ๆ กัน แถบโลหะของแป้นพิมพ์ที่ถูกกดก่อน ยังไม่กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมก็จะไปขัดกับแถบโลหะของแป้นพิมพ์ใหม่ที่ถูกกด สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ผู้ใช้ต้องหยุดพิมพ์เพื่อเอาแถบโลหะที่ขัดกันอยู่กันออกด้วยตัวเอง

คุณ Christopher Scholes และทีม จึงได้ทำการออกแบบแป้นพิมพ์รุ่นใหม่ขึ้นมา โดยอิงอยูบนพื้นฐานที่ว่าเอาแป้นที่มีโอกาสจะถูกพิมพ์ในช่วงใกล้ ๆ กันให้ออกไปห่างจากกัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดการพันกันของแท่นโลหะในระหว่างการพิมพ์ โดยอาศัยความรู้สึกของผู้ออกแบบเป็นหลัก ไม่รู้จะเรียกว่าโชคร้ายได้หรือเปล่า ที่วิธีการเลือกว่าแป้นพิมพ์อันไหนควรจะอยู่ทางด้านซ้ายหรือด้านขวาของคนพิมพ์นั้น ไม่ได้อยู่ในพื้นฐานของการออกแบบ QWERTY keyboard layout นี้เลยครับ ส่วนทำไมแป้นพิมพ์แถวบนสุดถึงต้องเป็น QWERTYUIOP น่ะหรือครับ? ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวพิมพ์แถวบนแถวเดียว สามารถพิมพ์เป็นคำว่า 'typewriter' ได้นั่นเอง! ส่วนตัวพิมพ์ในแถวกลางหรือคีย์เหย้า (home key: ASDFGHJKL) ทั้งหลาย ก็เกิดจากส่วนที่เหลือของการหยิบตัวอักษรไปใส่ไว้ในแถวแรกครับ

keyboard layout แบบ QWERTY จึงถือกำเนิดขึ้นในที่สุด ซึ่งสิทธิบัตรของ QWERTY keyboard layout นี้ก็ถูกซื้อไปโดย Remington บริษัทผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีด ยักษ์ใหญ่ (บริษัทเดียวกับที่ผลิตปืนขายนั่นล่ะครับ)

ดังนั้นเราพอจะสรุปได้ว่า QWERTY keyboard layout แท้ที่จริงแล้ว มีต้นกำเนิดมาจากการตอบสนองแต่ปัญหาทางด้านกลไลของเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกนั่นเอง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นที่ผมเล่าให้ฟังนี้เราคงไม่ค่อยพบเห็นกันแล้วในปัจจุบันครับ เนื่องจากแป้นพิมพ์ที่เราใช้กันอยู่เป็นแป้นพิมพ์สำหรับคอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่มีระบบการทำงานของแป้นโลหะเหลืออีกต่อไปแล้ว

ทีนี้เรามาว่าในรายละเอียดของเจ้า QWERTY layout นี้ว่ามันยังออกแบบได้ไม่สมบูรณ์อย่างไร

เนื่องจากคนที่ออกแบบ QWERTY นี้ใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก และไม่ได้คำนึงถึงการใช้มือสองข้างในการพิมพ์มากนัก ทำให้เราไม่สามารถใช้วิธีการพิมพ์สัมผัสแบบใช้ 2 มือได้อย่างเต็มที่ เพราะกลายเป็นว่าคำในภาษาอังกฤษ นับพัน ๆ คำจะถูกพิมพ์โดยใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียว ในขณะที่มีเพียงไม่กี่ร้อยคำเท่านั้น ที่จะถูกพิมพ์ด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว ทำให้ผู้ใช้ที่ถนัดขวา จะต้องใช้มือข้างที่ไม่ถนัดในการพิมพ์คำเหล่านี้ ยังไม่นับรวมถึง คำที่ใช้สองมือพิมพ์ แต่ตัวอักษรที่ประกอบติดกันอยู่ภายในคำนั้น ๆ ถูกพิมพ์โดยมือข้างใดข้างหนึ่งติดกันหลาย ๆ ตัว (เช่นคำว่า team เป็น ซ้าย ซ้าย ซ้าย ขวา) ส่งผลให้ความเร็วในการพิมพ์นั้นลดลง

ทีนี้ ความเร็วที่ว่าลดลงนั้น ลดลงแค่ไหน? ทดลองดูง่าย ๆ โดยใช้นิ้วชี้ของมือใดมือหนึ่งของคุณเคาะลงบนโต๊ะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วลองเทียบกับ การใช้นิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างเคาะสลับกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดูสิครับ

ปัญหาการพิมพ์นี้ถูกค้นพบในเวลาต่อมา ในปี ค.ศ. 1930 โดยนักจิตวิทยาการศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ชื่อ Dr. August Dvorak ที่ทำการศึกษาภาวะเมื่อยล้าของผู้ที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีดเป็นเวลานาน ๆ หลังจากที่เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า (ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องการพันกันของแท่นโลหะอีกต่อไป) เริ่มมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น

Dr. Dvorak จึงมีความคิดที่จะพัฒนา keyboard layout แบบใหม่ โดยมีหลักการเพื่อให้สามารถใช้ มือสองข้างสลับกันพิมพ์ตัวอักษรให้ได้มากที่สุด ใช้มือขวามากกว่ามือซ้าย ตัวอักษรที่พิมพ์บ่อย อยู่ใกล้แป้นเหย้ามากที่สุด ใช้ประโยชน์จากนิ้วที่แข็งแรงกว่าให้มากกว่า รวมไปถึงลักษณะการพิมพ์ที่เร็วกว่าโดยการใช้การกดแป้นไล่เรียงมาจาก ด้านนอกเข้าสู่ด้านใน (inboard stroke flow) ซึ่งในที่สุดจากการศึกษาทางด้านคำศัพท์และการพิมพ์มาอย่างโชกโชน Dvorak keyboard layout ก็ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1932

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่แม้ว่าจะมีหลักฐาน เหตุผลของการพัฒนา keyboard layout แบบใหม่นี้ขึ้นมาสนับสนุน แต่ในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนั้น ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า การใช้ Dvorak layout นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการพิมพ์ได้มากขึ้นจริง ๆ ประกอบกับสไตล์การพิมพ์สัมผัสของ QWERTY layout นี้ก็มีกลุ่มผู้ใช้อยู่อย่างหนาแน่น โรงเรียนสอนการพิมพ์ดีดทั้งหลาย ก็เปิดสอนเทคนิคการพิมพ์สัมผัสบน QWERTY keyboard อย่างแพร่หลาย บริษัทผู้ผลิตก็ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดที่ใช้ QWERTY layout ออกมาจนติดตลาดไปทุกหนทุกแห่ง ท่ามกลางกระแสของ demand-supply ที่เกิดขึ้น ทำให้พื้นที่ที่ Dvorak keyboard นี้จะแจ้งเกิดเป็นไปได้อย่างจำกัด และก็ไม่สามารถทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลายได้ดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน และพื้นฐานของการใช้งาน QWERTY layout ก็ส่งอิทธิพลไปถึงการใช้งานคีย์บอร์ดบนคอมพิวเตอร์ด้วย ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็คือ keyboard shortcut สำหรับฟังก์ชัน Edit ที่ใช้กัน นั่นก็คือ Cut (Ctrl-x), Copy (Ctrl-C) และ Paste (Ctrl-v) ซึ่งทั้งสามแป้นนี้อยู่ติดกันบน QWERTY แต่อยู่ห่างจากกันใน Dvorak

อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ Dvorak keyboard layout นี้ และไม่ลังเลที่จะนำมันมาใช้งาน ทำให้ในปัจจุบัน Dvorak layout ยังคงอยู่ในกลุ่มผู้ใช้เล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ณ วันนี้ ข้อสงสัยเรื่องของประสิทธิภาพถูกพิสูจน์ในที่สุด เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มเป็นที่แพร่หลาย จึงได้มีการนำเอาประสิทธิภาพของ keyboard layout ทั้งสองอันนี้มาเปรียบเทียบกัน โดยจำลองสถานการณ์การพิมพ์ดีด และวัดผลในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เปรียบเทียบการใช้มือซ้ายเทียบกับมือขวา จำนวนตัวอักษรที่ติดกันที่ถูกพิมพ์ด้วยมือข้างเดียวกัน การกระโดดขึ้นกระโดดลงของนิ้วมือ ระยะทางที่นิ้วมือต้องเคลื่อนที่ออกจากคีย์เหย้า ซึ่งก็พบว่า Dvorak keyboard มีประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบตามกติกานี้ครับ

สำหรับผู้ที่สนใจเปลี่ยนมาใช้ Dvorak keyboard สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
DvZine.org มีสื่ออธิบายความเป็นมา รวมทั้งแบบฝึกหัดการพิมพ์ Dvorak
Wikipedia: Dvorak Simplified Keyboard

วิธีการเปลี่ยน keyboard layout บน OS ต่าง ๆ

เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ layout ต่าง ๆ
QWERTY layout VS Dvorak layout
โดยใช้บทประพันธ์ของเช็คสเปียร์
http://www.siteuri.ro/dvorak/SampleTextsResults/Shakespeare.html

ที่มา