Thursday, February 28, 2013

L'Inconnue de la Seine หญิงสาวนิรนาม แห่งแม่น้ำแซน

L'Inconnue de la Seine
ภาพประกอบจาก alimobasser.com

เรื่องราวของหญิงสาวนิรนาม ที่มีส่วนช่วยชีวิตคนทั่วโลก

ในปลายศตวรรษที่ 19 ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกนำขึ้นจากแม่น้ำแซนในกรุงปารีส โดยที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ ติดตัว และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายใด ๆ บนร่างกายของเธอ เมื่อร่างของเธอได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่เก็บร่างผู้เสียชีวิต อาจเป็นด้วยความงาม ความเยาว์วัย หรือรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า เมื่อผู้ดูแลสถานที่ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวนิรนามนี้ เขาได้ทำการหล่อหน้ากากเค้าโครงใบหน้า (death mask) ของเธอเก็บเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกเผยแพร่ในเวลาต่อมา

Maurice Blanchot นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้เขียนบรรยายถึงใบหน้าของเธอเอาไว้ว่า:
"ใบหน้าของหญิงสาวที่ดวงตาปิดสนิท แต่สว่างไสวด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย และปล่อยวาง ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดคิดมิได้ว่า เธอจมลงไปยังก้นแม่น้ำ โดยที่ยังอยู่ในห้วงเวลาอันแสนสุข"

ด้วยความงดงาม และปริศนารอยยิ้มน้อย ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ถึงขนาดมีผู้นำไปเปรียบเทียบกับรอยยิ้มในตำนานอย่างโมนา ลิซ่า  ทำให้หน้ากากเค้าโครงใบหน้าของเธอ ถูกคัดลอกต่อ ๆ กันอย่างแพร่หลาย เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเก็บสะสมผลงานศิลปะในยุคนั้น และกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของฝร่ังเศสในช่วงทศวรรษที่ 1920 และด้วยความเป็นมา และการตายของเธอที่ยังคงเป็นปริศนามาตลอด ทำให้เกิดตำนานเล่าขานไปทั่วยุโรป ในรูปแบบของนวนิยาย บทกวี และบทละคร บ้างก็ว่าเธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยสาเหตุจากความคับแค้นยากจน บ้างก็ว่า เป็นโศกนาฏกรรมระหว่างเธอกับชายหนุ่มในตระกูลสูงศักดิ์ ที่จบลงด้วยความรักที่ไม่สมหวัง และการทำอัตวินิบาตกรรม

เวลาล่วงเลยมาอีก 80 ปี ในช่วงทศวรรษ 1960 Asmund S. Laerdal เจ้าของกิจการของเล่น ร่วมมือกับ แพทย์ชาวออสเตรีย ชื่อ Peter Safar ผู้คิดริเริ่มวิธีการช่วยชีวิตผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น (CardioPulmonary Resuscitation: CPR) ผลิตหุ่นสำหรับสอนช่วยชีวิตที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนคนจริงขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่า หุ่นที่มีขนาด และรูปร่างลักษณะเหมือนกับคนจริง จะทำให้ผู้เรียนมีความกะตือรือร้นในการฝึกทักษะการช่วยชีวิตมากยิ่งขึ้น จากความประทับใจที่มีต่อตำนานโศกนาฏกรรมของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ทำให้ Asmund Laerdal เลือกเค้าโครงใบหน้าของเธอ เป็นต้นแบบใบหน้าของหุ่นสำหรับการสอนช่วยชีวิต ที่มีชื่อว่า Resusci Anne ตั้งแต่บัดนั้น

หุ่น Resusci Anne รุ่นแรก เริ่มต้นจากการเป็นหุ่นสำหรับฝึกการช่วยชีวิตตามหลักการในยุคนั้น ได้แก่ การเปิดทางเดินหายใจ "A" ด้วยการเงยศีรษะ และเชยคาง (head tilt-chin lift) และการผายปอด "B" ด้วยการทำ mouth-to-mouth ในเวลาต่อมา เมื่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการกดหน้าอก (chest compression) เพื่อให้มีการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองเกิดขึ้น Resusci Anne ก็ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในเรื่องของการฝึกกดหน้าอกเช่นเดียวกัน เวลาผ่านไป กิจการของ Laerdal ก็ได้ผันตัวเองจากผู้ผลิตของเล่น มาเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และอุปกรณ์ฝึกช่วยชีวิต ในปัจจุบัน

สำหรับหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องราว หรือแม้แต่ชื่อจริง ๆ ของเธอเลยก็ตาม แต่จนถึงวันนี้ใบหน้าของเธอ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหุ่น Resusci Anne ที่เป็นต้นแบบสำหรับฝึกสอนการช่วยชีวิตให้กับผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก จนได้รับการขนานนามว่า เป็น"ใบหน้าที่ถูกจุมพิตมากที่สุดในโลก" จากการฝึกผายปอดช่วยชีวิตไปแล้ว

ปัจจุบันรูปหล่อใบหน้าต้นฉบับของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ถูกเก็บรักษาไว้ที่ The Museum of the Order of St John กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ที่มา:
Laerdal - History
Wikipedia - L'Inconnue de la Seine

Monday, February 11, 2013

ภายใต้หน้ากาก


The Dark Lord Trilogy: The Rise of Darth Vader โดย James Luceno


..
ดาร์ธ ซิเดียส ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เวเดอร์สูญเสียทุกอย่าง แม้แต่ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความไร้เทียมทานที่เขาเคยมีแบบตอนที่เป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์

เวเดอร์หันหลังกลับ และเคลื่อนตัวไปยังประตู
แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การเดิน

ด้วยความเคยชินในการสร้าง และซ่อมแซมหุ่นยนต์ เพิ่มความแรงเครื่องยนต์แลนด์สปีดเดอร์ และยานรบตั้งแต่ยังเด็ก จนถึงการปรับปรุงกลไกควบคุมแขนกลข้างแรกของเขา เขาเริ่มไม่แน่ใจในความไม่ได้เรื่องหุ่นยนต์แพทย์ที่รับผิดชอบต่อการฟื้นคืนชีพของเขาในห้องทดลองของซิเดียสบนคอรัสซัง

ขาโลหะผสมของเขาดูเก้งก้างด้วยแถบเกราะโลหะชนิดเดียวกับที่หล่อถุงมือที่หุ้มแขนเทียมข้างขวาของเขา สิ่งที่เหลืออยู่จริง ๆ ตรงปลายแขนเป็นแค่กระจุกของเนื้อที่ถูกเอามาปลูกถ่าย แล้วเชื่อมต่อกลไกที่ถูกกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวเข้ากับเส้นประสาทที่เหลืออยู่ แต่แทนที่หุ่นพยาบาลจะใช้โลหะชนิดทนทาน มันกลับเลือกใช้โลหะผสมที่คุณภาพต่ำกว่า และไม่ได้เก็บรายละเอียดรอยตะเข็บแผงวงจรให้เรียบร้อย ผลก็คือ พื้นผิวด้านในของชุดปรับความดัน เต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำ ที่คอยเสียดสีหัวเข่า และข้อเท้าของเขาตลอดเวลา

บูททรงสูงไม่พอดีกับขาเทียม ที่กรงเล็บนิ้วเท้าก็ขาดสัมผัสไฟฟ้าสถิตย์แบบที่มีในนิ้วมือเทียม ส้นของรองเท้าถูกยกขึ้นสูง ทำให้ตัวเอนไปข้างหน้า บังคับให้เขาต้องเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังอย่างมาก เพื่อไม่ให้สะดุดล้ม แย่ยิ่งกว่านั้น มันหนักมากเสียจนเขารู้สึกถูกดูดติดอยู่กับพื้น เหมือนอยู่บนดาวที่มีแรงโน้มถ่วงสูงอยู่ตลอดเวลา

มันจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ดีไปได้อย่างไร ถ้าเขาต้องใช้ พลัง ตลอดเวลา กับแค่การเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง! เขาคิดถึงการยอมนั่งบนเก้าอี้ต้านแรงโน้มถ่วง และเลิกหวังการกับเคลื่อนที่จริง ๆ จัง ๆ ด้วยซ้ำ

แขนเทียม ก็ห่วยพอ ๆ กับขา

มีแต่แขนเทียมข้างขวาเท่านั้น ที่พอจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะเป็นแค่แขนเทียมก็เถอะ บางทีระบบแรงดันอากาศที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของข้อ มันก็ตอบสนองได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น เสื้อคลุม แผงเกราะหน้าอกที่แสนจะหนัก จำกัดการเคลื่อนไหว จะกระทั่งเขาแทบไม่สามารถยกแขนขึ้นเหนือหัวได้ และทำให้เขาจำเป็นต้องปรับเทคนิคการใช้ดาบแสงไปโดยปริยาย

บางทีเขาน่าจะปรับตัวขับเคลื่อนและแกนหมุนของแขนให้มีความแข็งแรงขนาดที่จะขยี้ด้ามดาบแสงของเขาได้ไปเลย ด้วยความแข็งแรงของแขนเขาอย่างเดียว เขาสามารถยกคนตัวโต ๆ ให้พ้นพื้นได้ แต่ พลัง ก็ให้ความสามารถอันนั้นกับเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะในหัวงเวลาของความโกรธ แบบที่เขาเคยทำบนทาทูอิน และที่อื่น ๆ แถมแขนของชุดเกราะยังไม่พอดีกับแขนเทียมอย่างที่ควรจะเป็น ถุงมือที่ยาวถึงข้อศอกตีบคอด และรัดข้อมือ

ในขณะที่ มอง ไปที่ถุงมือทั้ง 2 ข้าง เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การเห็น

หน้ากากปรับความดัน ประกอบไปด้วย แว่นตาที่ปูดโปน ปากเหมือนปลา ยื่นออกมาสั้น ๆ และหักมุมโดยไม่จำเป็นตรงกระดูกโหนกแก้ม พอประกอบเข้ากับโดมของหมวก ให้ความรู้สึกเหมือนกับเงาร่างหุ่นยนต์สงครามของซิธในสมัยโบราณที่กลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง เลนส์รูปครึ่งวงกลมสีดำที่ครอบอยู่รอบดวงตาของเขา กรองแสงที่อาจเป็นอันตรายต่อกระจกตา และจอประสาทตาของเขาออกไป แต่ก็ทำให้ทุกอย่างมีสีแดงไปหมด และทำให้เขาไม่สามารถเห็นปลายรองเท้าของตัวเองได้ เว้นแต่จะต้องก้มหัวลงสุด ๆ

เขาฟังเสียงของมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแขนขาของตัวเอง แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การได้ยิน

หุ่นยนต์แพทย์ได้สร้างกระดูกอ่อนของใบหูของเขาขึ้นใหม่ แต่เยื่อแก้วหูถูกหลอมเหลวด้วยความร้อนของดาวมุสตาฟาจนไม่สามารถซ่อมแซมอะไรได้ไปแล้ว ตอนนี้คลื่นเสียงที่เข้ามาจะผ่านไปยังประสาทหูชั้นในเทียม เสียงที่เข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนมาจากใต้น้ำ ที่แย่กว่านั้นคือ ตัวรับเสียง ขาดความสามารถในการแยกแยะเสียงต่าง ๆ รับเอาเสียงรบกวนต่าง ๆ เข้ามาด้วย ยากต่อการเดาระยะทาง และทิศทาง บางครั้งตัวรับเสียงก็หอน หรือก้อง ๆ หรือไม่ก็สันพร่า แม้กระทั่งกับเสียงเบา ๆ ก็ตาม

แม้ปอดของเขา จะมีอากาศเขามาเติมตลอดเวลา แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การหายใจ

ตรงนี้แหละ ที่หุ่นยนต์แพทย์ล้มเหลวของจริง

หน้าอกของเขาถูกกล่องควบคุมรัดเอาไว้ สายเคเบิลหนา ๆ ทิ่มแทงเข้าไปในทรวงอก เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ช่วยหายใจ และเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจ เครื่องช่วยหายใจถูกติดตั้งอยู่ในหน้าอกที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน่าเกลียด ต่อเข้าโดยตรงกับท่อที่เชื่อมเข้ากับเนื้อปอด และหลอดลมที่หลงเหลือ แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด เพราะมันทำให้เขาสามารถหายใจด้วยตัวเองเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ

หน้าจอควบคุมส่งเสียงเตือนบ่อย ๆ แบบไม่มีเหตุผล และไฟกระพริบต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ ก็เป็นแค่เครื่องเตือนถึงความเปราะบางของเขา

เสียงหายใจแหบ ๆ ที่ดังต่อเนื่อง รบกวนการพักผ่อน ไม่ต้องพูดถึงการหลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสนจะหาได้ยากสำหรับเขา เพราะมันคือการสลับฉากกันของฝันร้ายที่บิดเบี้ยว ที่ผลัดกันออกมาหลอกหลอนด้วยเสียงของความเจ็บปวดทั้งหลายที่อยู่ในความทรงจำ

อย่างน้อยหุ่นยนต์แพทย์ก็ติดตั้งท่อช่วยหายใจในที่ที่อยู่ต่ำลงไป ทำให้เขาสามารถส่งเสียงผ่านกล่องเสียง ได้โดยมีเครื่องสังเคราะห์เปลี่ยนเสียงที่เหมือนเสียงกระซิบ ให้กลายเป็นเสียงแหบต่ำ

เขาสามารถกินอาหารทางปากได้เหมือนกัน แต่ก็เฉพาะเวลาที่เขาอยู่ในห้องปรับความดัน เพราะเขาไม่สามารถเอาเครื่องช่วยหายใจที่ติดอยู่กับหน้ากากออกได้ มันจึงง่ายกว่าที่เขาจะได้รับสารอาหารทางหลอดเลือด และต้องคอยพึ่งพาสายสวน ถุงกักเก็บ และระบบหมุนเวียน ในการจัดการกับของเสียต่าง ๆ

แต่อุปกรณ์เหล่านั้นทั้งหมดก็ทำให้เขาเคลื่อนตัวได้อย่างยากเย็น พูดถึงความสง่างาม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แผงเกราะหน้าอกที่ทำหน้าที่ปกป้องปอดเทียมมันช่างหนักอึ้ง เช่นเดียวกับปลอกดามคอที่จำเป็นต่อระบบที่ทำหน้าที่แทนกระดูกต้นคอทั้งหมด ที่เชื่อมต่อกับหมวกเทอะทะ ระบบหน้ากากช่วยหายใจอันละเอียดอ่อน แผลเป็นเละ ๆ บนหัวที่ไม่มีผม ที่เกิดจากปฏิบัติการช่วยชีวิตในช่วงการเดินทางกลับจากมุสตาฟามายังคอรัสซังต์ บนยานของซิเดียส

ผิวหนังที่ถูกเผาจนติดกระดูก ถูกแทนด้วยผิวหนังสังเคราะห์ที่คันตลอดเวลา และจะต้องถูกขัดถูทั่วร่างกายเพื่อเอาเนื้อตายออกเป็นประจำ

เขาได้ผ่านช่วงเวลาของการกลัวที่แคบ ช่วงเวลาของความสิ้นความหวังของการกำจัดชุดเกราะนี้ทิ้งไป เขาอยากสร้าง.. สร้างห้องที่เขาสามารถรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์อีกครั้ง..

ถ้ามันเป็นไปได้

ทั้งหมดทั้งมวล เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การมีชีวิต

นี่มันคือการจองจำในคุกที่เลวร้ายที่สุด เพื่อรับทัณฑ์ทรมานไปตลอดชีวิต เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเศษซากของชีวิต เป็นอำนาจที่ไร้เป้าหมาย...

เสียงถอนหายใจอย่างหดหู่ ออกมาจากหน้ากากช่วยหายใจ

เขาเตือนตัวเองให้ตั้งสติ แล้วก้าวผ่านช่องประตูออกไป..