Saturday, January 02, 2016

ประสบการณ์ใช้หูฟังสำหรับวิ่งออกกำลัง

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเวลาได้ออกกำลังกายบ้าง ประกอบกับติด podcast หลายรายการ จึงถือโอกาสใช้เวลาช่วงที่วิ่ง ฟัง podcast ที่ download ไว้ในโทรศัพท์ไปด้วย จากการใช้งานระหว่างวิ่งออกกำลังกลางแจ้ง และมีเหงื่อ หูฟังที่ใช้จึงมีอันเป็นไปในแบบต่าง ๆ กัน ก็เลยยิ่งไม่กล้าลงทุนซื้อหูฟังราคาแพงมาใช้งาน จึงมีโอกาสได้ใช้หูฟังหลายชนิด ที่ราคาไม่เกิน 1,000 บาท จึงขอถือโอกาสนำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังกันครับ

วิธีการวิ่งของผมส่วนใหญ่เป็นการวิ่งในสวนสาธารณะที่ไม่ต้องหลบสิ่งกีดขวางมาก และไม่ต้องคอยระวังรถยนต์ ใช้วิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าใน fitness ใช้ฟัง podcast เป็นหลัก และใช้ ดูวิดีโอ และฟังเพลงบางโอกาส จึงชอบใช้หูฟังแบบ in-ear เนื่องจากสามารถตัดเสียงรบกวน (noise isolation) ได้ดี ขนาดเล็ก พกพาง่าย

มาเริ่มด้วยตัวแรกกันเลย

TDK EB800

หลังจากไปเดินเลือก และทดลองฟัง ก็ได้ เจ้า TDK EB800 มาใช้ เป็นหูฟัง in-ear แบบธรรมดา ไม่ใช่หูฟังออกกำลังกาย ด้วยราคาไม่แพง รู้สึกจะ 199 บาทจากพารากอน

การใช้งานช่วงแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เสียงดี ตัดเสียงรบกวน ใส่วิ่งได้โดยไม่เลื่อนหลุด แต่จะมีอาการเมื่อยแก้วหูบ้าง หากใส่ฟังต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ

หลังจากใช้ไปประมาณ 6 เดือน ก็มีเหตุการณ์เหงื่อเข้าไปในหูฟัง ทำให้เสียงเบาไปข้างหนึ่ง ลองปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ก็ไม่ดีขึ้น ไป claim มา 1 รอบ จนกระทั่งเกิดปัญหาแบบเดิมอีกครั้ง คราวนี้หมดประกัน เป็นอันปลดระวาง

Creative EP-630


ตัวที่ 2 Creative EP-630 ได้มา 3 ตัว จากงาน warehouse sale ในราคาถูกสุด ๆ review รุ่นนี้ของต่างประเทศค่อนข้างดี จากการใช้งานอย่างสมบุกสมบัน พบว่ามันทนมาก แม้สายจะโดนเกี่ยวจนหลุด หรือเหงื่อเข้า ก็ไม่เคยมีอาการผิดปกติเลย ด้านคุณภาพเสียง รู้สึกว่าเสียงแหลมมีแตกบ้าง เบสไม่หนักเท่าไหร่ noise isolation ทำได้ดี หูฟังมีน้ำหนักเบา ไม่เลื่อนหลุดง่าย ใช้ร่วมกับ ear loop ทำให้กระชับมากขึ้น

สรุปว่า คุณภาพเสียง ok ประทับใจในความทนทาน พึ่งพาได้เสมอ สถานะปัจจุบัน:เป็นคู่สำรอง ในหุกสถานการณ์

Avantree Sacool


ตัวที่ 3 Avantree Sacool ลองหามาใช้ในช่วงหน้าฝน เพื่อเอามาใช้กับ Sony Xperia Active ที่กันน้ำได้ (ต้องปิดจุก jack 3.5 mm) จึงมองหาหูฟัง bluetooth ที่กันน้ำ (water resistant) ซึ่งน่าจะลดปัญหาหูฟังเสียจากการเปียกน้ำ และเหงื่อ ตัดกังวลเรื่องใช้งานกลางฝน สั่งมาจากเว็บ e-commerce บริการส่งถึงบ้านอย่างไว จากการใช้งานพบว่าคุณภาพเสียง และ noise isolation พอใช้ได้ ใช้ประจำอยู่เกือบปี จนกระทั่งปุ่มยางเปิดปิด และปรับเสียง เริ่มมีอาการยุบ ฉีกขาด ไมค์ไม่ดัง หมดประกัน 1 ปีพอดี จึงเลิกใช้
จุกยางปิดช่องเสียบชาร์จหลังใช้งาน 1 ปี

อ่าน review ของต่างประเทศ มีคนบอกว่า Worked well until it fell apart แสดงว่าเบื้องบนคงกำหนดมาให้มันมีอายุขัยที่ประมาณ 1 ปี กับอีกไม่กี่เดือนแค่นั้น

Jabra Clipper

ตัวที่ 4 Bluetooth Jabra Clipper หลังจากผิดหวังกับ Avantree SaCool ก็เลยลองหา bluetooth ที่เหมาะกับกิจกรรม จนเจอคำโฆษณาเรื่องความทนทาน military grade และ water resistant สามารถต่อหูฟัง 3.5 mm ตัวอื่นได้ จึงตัดสินใจซื้อมาใช้ พบว่าตัว bluetooth ถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้ดี รูปทรงแข็งแรงทนทาน ตัวหนีบแน่นหนา


หลังใช้งานได้ 9 เดือน มีอาการเสียงออกข้างเดียวซะงั้น อยู่ในประกัน claim กับ RTB ได้เรียบร้อย  ได้เปลี่ยนตัวใหม่เป็น Jabra Play ขอขอบคุณ RTB Technology ที่บริการให้เป็นอย่างดี

ReMax RM S1

ตัวที่ 5 ReMax RM S1 ขึ้นชื่อว่าเป็น sport design มีพลาสติกถ่วงน้ำหนักหลังหู, ออกแบบเป็น ear loop กันเลื่อนหลุด สายหุ้ม และหัว jack ดูแข็งแรงทนทาน คุณภาพเสียงดี

หลังใช้งาน 3 เดือน ตราที่หูฟังหลุดหายไป คาดว่าเป็นจากการโดนเหงื่อ มีรอยถลอกที่ jack จากการใส่ในกระเป๋า เคยเจอเสียงวี้ดเวลาเสียบกับโทรศัพท์ไว้นาน ๆ สุดท้ายไมค์ดับ claim ไม่ได้ เนื่องจากสภาพสมบุกสมบันเกิน
ตราหลุดหายไปข้างนึง

แม้ว่าไมค์จะไม่ดัง แต่ก็ยังสามารถใช้ฟัง podcast ต่อได้ และใช้กับ Jabra Clipper (และ Jabra Play ในเวลาต่อมา) เคยมีเหตุการณ์เหงื่อเข้าแล้วเสียงเบา แต่ผึ่งทิ้งไว้ 1 วันก็กลับมาใช้งานได้ปกติ ถือเป็นหูฟังสำหรับออกกำลังกาย ที่เสียงดี และทนทานคู่หนึ่ง
ชุดใช้งานปัจจุบัน ประกอบร่างกับ Jabra Play

ReMax RM S2

ตัวที่ 6 ReMax RM S2 Bluetooth เป็น sport design เช่นเดียวกัน รูปร่างหน้าตาน่าใช้ คุณภาพเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตัดเสียงรบกวนได้ไม่หมด ตอนนี้เกิดอาการเปิดไม่ติด เป็นมา 2 ครั้งแล้ว จากการสังเกต เป็นหลังจากการออกกำลังที่เหงื่อออกมาก จึงสงสัยว่าเป็นจากเหงื่อเข้า แต่เขาโฆษณาว่าเป็น sport design นะ

ข้อสรุปที่ได้: หูฟัง sport design อาจจะไม่เหมาะสำหรับการออกกำลังเสมอไป

Jabra Play

ตัวที่ 7 Bluetooth Jabra Play ได้มาจากการ claim Jabra Clipper เป็นรุ่นที่ออกมาหลัง Clipper ตัวถังลดความแข็งแรงจากโลหะมาเป็นเป็นพลาสติก มีจุกยากปิดที่ช่องเสียบชาร์จไฟ น่าจะกันความชื้นได้นิดหน่อย ใช้เทคโนโลยี Bluetooth 3.0

ความรู้สึกเมื่อแรกเริ่มใช้งาน สามารถ pair และ connect ได้รวดเร็ว คุณภาพเสียงมาค่อนข้างครบ เบสลดลงนิดหน่อยเทียบกับการเสียบหูฟังตรงกับโทรศัพท์ ตอนนี้ประกอบเข้าคู่กับ ReMax RM S1 ใช้ใส่วิ่งในสวนก็ได้ ใช้ดูหนังระหว่างวิ่งบนลู่ไฟฟ้าก็ดี รูปแบบการใช้งานเป็นที่น่าพอใจในปัจจุบัน

แต่ใช้งานมาได้ 3 เดือน ยางบาง ๆ ที่ครอบช่องเสียบชาร์จขาดไป 1 ข้าง จาก 2 ข้างซะแล้ว


สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการใช้หูฟังราคาประหยัดในการออกกำลัง

  1. ไม่ใช่หูฟังทุกคู่ที่ใส่ออกกำลังได้เสมอไป ปัญหาสำคัญคือการไม่ทนความชื้น และเหงื่อ
  2. หูฟังที่โฆษณาว่า sport design อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับออกกำลังกายเสมอไป
  3. สินค้าบางชิ้น ทำออกมาให้มีอายุการใช้งานเท่ากับระยะประกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่มันจะได้ review ที่เป็นด้านบวก 
  4. หูฟัง bluetooth ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้กับ phablet ที่หยิบลำบาก ส่วน bluetooth รุ่นที่เปลี่ยนหูฟังได้ ถือว่าตอบโจทย์ได้ทั้งเรื่องความคล่องตัวและคุณภาพเสียง แต่ปัญหาความเกะกะของสายจะยังมีอยู่ เมื่อเทียบกับหูฟังที่มี bluetooth ในตัว
ต่อไปจะลองหาหูฟังออกกำลังที่มียี่ห้อราคาแพงขึ้น ที่น่าจะทนความสมบุกสมบันมาลองบ้าง แต่ยังหาตัวที่ถูกใจทั้งหน้าตา และเสียงไม่ได้ จึงยังไม่ลงทุน

Thursday, September 26, 2013

แนวทางของ Apple


จากคำให้สัมภาษณ์ของ Tim Cook (CEO), Jonathan Ive (UI design) และ Craig Federighi (HI design) หลังการเปิดตัว iPhone 5S, 5C และ iOS7

การทำธุรกิจ

มีส่วนที่ไม่สร้างมูลค่าอยู่ในตลาดอยู่เต็มไปหมด แต่เรา (Apple) ไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่ไม่สร้างมูลค่าพวกนั้น
 “There’s always a large junk part of the market,” he says. “We’re not in the junk business.” - Tim Cook

เรา (Apple) ไม่ได้มองหาการยืนยันแนวทางธุรกิจของเราจากภายนอก แต่คนอื่นก็กำลังทำเลียนแบบสิ่งที่เรากำลังทำ นั่นแสดงให้เห็นว่าคนอื่นให้ความสำคัญในแนวทางในแบบของเรา
“We’re not looking for external validation of our strategy, but I think it does suggest that there’s a lot of copying, kind of, on the strategy and that people have recognized that importance.” - Tim Cook

การสร้างนวัตกรรม

มีปัญหาหลายอย่างต้องแก้ไข ก่อนที่มันจะนำไปสู่การปลดล็อกไอเดียใหญ่ ๆ
“there are so many problems that had to be solved to enable one big idea.” - Jonathan Ive

เราเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าเพื่อแก้ปัญหา เราไม่ได้ถือโอกาสยัดเทคโนโลยี 10 อย่างลงไป เพื่อจะได้ใส่เพิ่มลงไปในรายการโฆษณา feature
“we started with a desire to solve the problem. We didn’t start opportunistically with 10 bits of technology that we could try to find a use for to add to our features list,” - Jonathan Ive

ทำเรื่องใหม่ๆง่ายนิดเดียว แต่ทำเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องยาก
“New? New is easy. Right is hard.” - Craig Federighi

[สิ่งที่เกิดขึ้นกับโนเกีย ที่สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์มือถือ และถูก Microsoft takeover กิจการ] เป็นเครื่องเตือนใจทุกคนในธุรกิจนี้ว่า คุณจะต้องสร้างนวัตกรรมไปเรื่อย ๆ การหยุดสร้างนวัตกรรม คือการตายไปจากวงการ
“I think [Nokia] is a reminder to everyone in business that you have to keep innovating and that to not innovate is to die.” - Tim Cook

การออกแบบ

คนส่วนใหญ่มองว่า ความเรียบง่าย คือการไม่รกรุงรัง และที่จริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความเรียบง่ายที่แท้จริงคือ การปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดที่ไม่มีวิธีอื่นที่เข้าท่ามากไปกว่านั้น
"I think a lot of people see simplicity as the lack of clutter. And that's not the case at all. True simplicity is, well, you just keep on going and going until you get to the point where you go, 'Yeah, well, of course.' Where there's no rational alternative." - Jonathan Ive

มองกลับไปในอดีต: สตีฟ จ็อบส์ พูดถึงการออกแบบ ในปี 1996: มันเป็นคำที่น่าสนใจ บางคนคิดว่า การออกแบบเป็นเรื่องของสิ่งที่"ปรากฏให้เห็น" แต่ลึกลงไป มันคือการแสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นมัน"ทำงานอย่างไร"ต่างหาก
"(It's) a funny word. Some people think design is about how it looks. But of course, if you dig deeper, it's really how it works." - Steve Jobs

ภาพถ่าย Steve Jobs ในห้องพักของเขา ปี 1982


ที่มา:

Thursday, February 28, 2013

L'Inconnue de la Seine หญิงสาวนิรนาม แห่งแม่น้ำแซน

L'Inconnue de la Seine
ภาพประกอบจาก alimobasser.com

เรื่องราวของหญิงสาวนิรนาม ที่มีส่วนช่วยชีวิตคนทั่วโลก

ในปลายศตวรรษที่ 19 ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกนำขึ้นจากแม่น้ำแซนในกรุงปารีส โดยที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ ติดตัว และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายใด ๆ บนร่างกายของเธอ เมื่อร่างของเธอได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่เก็บร่างผู้เสียชีวิต อาจเป็นด้วยความงาม ความเยาว์วัย หรือรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า เมื่อผู้ดูแลสถานที่ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวนิรนามนี้ เขาได้ทำการหล่อหน้ากากเค้าโครงใบหน้า (death mask) ของเธอเก็บเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกเผยแพร่ในเวลาต่อมา

Maurice Blanchot นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้เขียนบรรยายถึงใบหน้าของเธอเอาไว้ว่า:
"ใบหน้าของหญิงสาวที่ดวงตาปิดสนิท แต่สว่างไสวด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย และปล่อยวาง ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดคิดมิได้ว่า เธอจมลงไปยังก้นแม่น้ำ โดยที่ยังอยู่ในห้วงเวลาอันแสนสุข"

ด้วยความงดงาม และปริศนารอยยิ้มน้อย ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ถึงขนาดมีผู้นำไปเปรียบเทียบกับรอยยิ้มในตำนานอย่างโมนา ลิซ่า  ทำให้หน้ากากเค้าโครงใบหน้าของเธอ ถูกคัดลอกต่อ ๆ กันอย่างแพร่หลาย เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเก็บสะสมผลงานศิลปะในยุคนั้น และกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของฝร่ังเศสในช่วงทศวรรษที่ 1920 และด้วยความเป็นมา และการตายของเธอที่ยังคงเป็นปริศนามาตลอด ทำให้เกิดตำนานเล่าขานไปทั่วยุโรป ในรูปแบบของนวนิยาย บทกวี และบทละคร บ้างก็ว่าเธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยสาเหตุจากความคับแค้นยากจน บ้างก็ว่า เป็นโศกนาฏกรรมระหว่างเธอกับชายหนุ่มในตระกูลสูงศักดิ์ ที่จบลงด้วยความรักที่ไม่สมหวัง และการทำอัตวินิบาตกรรม

เวลาล่วงเลยมาอีก 80 ปี ในช่วงทศวรรษ 1960 Asmund S. Laerdal เจ้าของกิจการของเล่น ร่วมมือกับ แพทย์ชาวออสเตรีย ชื่อ Peter Safar ผู้คิดริเริ่มวิธีการช่วยชีวิตผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น (CardioPulmonary Resuscitation: CPR) ผลิตหุ่นสำหรับสอนช่วยชีวิตที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนคนจริงขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่า หุ่นที่มีขนาด และรูปร่างลักษณะเหมือนกับคนจริง จะทำให้ผู้เรียนมีความกะตือรือร้นในการฝึกทักษะการช่วยชีวิตมากยิ่งขึ้น จากความประทับใจที่มีต่อตำนานโศกนาฏกรรมของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ทำให้ Asmund Laerdal เลือกเค้าโครงใบหน้าของเธอ เป็นต้นแบบใบหน้าของหุ่นสำหรับการสอนช่วยชีวิต ที่มีชื่อว่า Resusci Anne ตั้งแต่บัดนั้น

หุ่น Resusci Anne รุ่นแรก เริ่มต้นจากการเป็นหุ่นสำหรับฝึกการช่วยชีวิตตามหลักการในยุคนั้น ได้แก่ การเปิดทางเดินหายใจ "A" ด้วยการเงยศีรษะ และเชยคาง (head tilt-chin lift) และการผายปอด "B" ด้วยการทำ mouth-to-mouth ในเวลาต่อมา เมื่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการกดหน้าอก (chest compression) เพื่อให้มีการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองเกิดขึ้น Resusci Anne ก็ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในเรื่องของการฝึกกดหน้าอกเช่นเดียวกัน เวลาผ่านไป กิจการของ Laerdal ก็ได้ผันตัวเองจากผู้ผลิตของเล่น มาเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และอุปกรณ์ฝึกช่วยชีวิต ในปัจจุบัน

สำหรับหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องราว หรือแม้แต่ชื่อจริง ๆ ของเธอเลยก็ตาม แต่จนถึงวันนี้ใบหน้าของเธอ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหุ่น Resusci Anne ที่เป็นต้นแบบสำหรับฝึกสอนการช่วยชีวิตให้กับผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก จนได้รับการขนานนามว่า เป็น"ใบหน้าที่ถูกจุมพิตมากที่สุดในโลก" จากการฝึกผายปอดช่วยชีวิตไปแล้ว

ปัจจุบันรูปหล่อใบหน้าต้นฉบับของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ถูกเก็บรักษาไว้ที่ The Museum of the Order of St John กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ที่มา:
Laerdal - History
Wikipedia - L'Inconnue de la Seine

Monday, February 11, 2013

ภายใต้หน้ากาก


The Dark Lord Trilogy: The Rise of Darth Vader โดย James Luceno


..
ดาร์ธ ซิเดียส ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เวเดอร์สูญเสียทุกอย่าง แม้แต่ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความไร้เทียมทานที่เขาเคยมีแบบตอนที่เป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์

เวเดอร์หันหลังกลับ และเคลื่อนตัวไปยังประตู
แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การเดิน

ด้วยความเคยชินในการสร้าง และซ่อมแซมหุ่นยนต์ เพิ่มความแรงเครื่องยนต์แลนด์สปีดเดอร์ และยานรบตั้งแต่ยังเด็ก จนถึงการปรับปรุงกลไกควบคุมแขนกลข้างแรกของเขา เขาเริ่มไม่แน่ใจในความไม่ได้เรื่องหุ่นยนต์แพทย์ที่รับผิดชอบต่อการฟื้นคืนชีพของเขาในห้องทดลองของซิเดียสบนคอรัสซัง

ขาโลหะผสมของเขาดูเก้งก้างด้วยแถบเกราะโลหะชนิดเดียวกับที่หล่อถุงมือที่หุ้มแขนเทียมข้างขวาของเขา สิ่งที่เหลืออยู่จริง ๆ ตรงปลายแขนเป็นแค่กระจุกของเนื้อที่ถูกเอามาปลูกถ่าย แล้วเชื่อมต่อกลไกที่ถูกกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวเข้ากับเส้นประสาทที่เหลืออยู่ แต่แทนที่หุ่นพยาบาลจะใช้โลหะชนิดทนทาน มันกลับเลือกใช้โลหะผสมที่คุณภาพต่ำกว่า และไม่ได้เก็บรายละเอียดรอยตะเข็บแผงวงจรให้เรียบร้อย ผลก็คือ พื้นผิวด้านในของชุดปรับความดัน เต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำ ที่คอยเสียดสีหัวเข่า และข้อเท้าของเขาตลอดเวลา

บูททรงสูงไม่พอดีกับขาเทียม ที่กรงเล็บนิ้วเท้าก็ขาดสัมผัสไฟฟ้าสถิตย์แบบที่มีในนิ้วมือเทียม ส้นของรองเท้าถูกยกขึ้นสูง ทำให้ตัวเอนไปข้างหน้า บังคับให้เขาต้องเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังอย่างมาก เพื่อไม่ให้สะดุดล้ม แย่ยิ่งกว่านั้น มันหนักมากเสียจนเขารู้สึกถูกดูดติดอยู่กับพื้น เหมือนอยู่บนดาวที่มีแรงโน้มถ่วงสูงอยู่ตลอดเวลา

มันจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ดีไปได้อย่างไร ถ้าเขาต้องใช้ พลัง ตลอดเวลา กับแค่การเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง! เขาคิดถึงการยอมนั่งบนเก้าอี้ต้านแรงโน้มถ่วง และเลิกหวังการกับเคลื่อนที่จริง ๆ จัง ๆ ด้วยซ้ำ

แขนเทียม ก็ห่วยพอ ๆ กับขา

มีแต่แขนเทียมข้างขวาเท่านั้น ที่พอจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะเป็นแค่แขนเทียมก็เถอะ บางทีระบบแรงดันอากาศที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของข้อ มันก็ตอบสนองได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น เสื้อคลุม แผงเกราะหน้าอกที่แสนจะหนัก จำกัดการเคลื่อนไหว จะกระทั่งเขาแทบไม่สามารถยกแขนขึ้นเหนือหัวได้ และทำให้เขาจำเป็นต้องปรับเทคนิคการใช้ดาบแสงไปโดยปริยาย

บางทีเขาน่าจะปรับตัวขับเคลื่อนและแกนหมุนของแขนให้มีความแข็งแรงขนาดที่จะขยี้ด้ามดาบแสงของเขาได้ไปเลย ด้วยความแข็งแรงของแขนเขาอย่างเดียว เขาสามารถยกคนตัวโต ๆ ให้พ้นพื้นได้ แต่ พลัง ก็ให้ความสามารถอันนั้นกับเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะในหัวงเวลาของความโกรธ แบบที่เขาเคยทำบนทาทูอิน และที่อื่น ๆ แถมแขนของชุดเกราะยังไม่พอดีกับแขนเทียมอย่างที่ควรจะเป็น ถุงมือที่ยาวถึงข้อศอกตีบคอด และรัดข้อมือ

ในขณะที่ มอง ไปที่ถุงมือทั้ง 2 ข้าง เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การเห็น

หน้ากากปรับความดัน ประกอบไปด้วย แว่นตาที่ปูดโปน ปากเหมือนปลา ยื่นออกมาสั้น ๆ และหักมุมโดยไม่จำเป็นตรงกระดูกโหนกแก้ม พอประกอบเข้ากับโดมของหมวก ให้ความรู้สึกเหมือนกับเงาร่างหุ่นยนต์สงครามของซิธในสมัยโบราณที่กลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง เลนส์รูปครึ่งวงกลมสีดำที่ครอบอยู่รอบดวงตาของเขา กรองแสงที่อาจเป็นอันตรายต่อกระจกตา และจอประสาทตาของเขาออกไป แต่ก็ทำให้ทุกอย่างมีสีแดงไปหมด และทำให้เขาไม่สามารถเห็นปลายรองเท้าของตัวเองได้ เว้นแต่จะต้องก้มหัวลงสุด ๆ

เขาฟังเสียงของมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแขนขาของตัวเอง แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การได้ยิน

หุ่นยนต์แพทย์ได้สร้างกระดูกอ่อนของใบหูของเขาขึ้นใหม่ แต่เยื่อแก้วหูถูกหลอมเหลวด้วยความร้อนของดาวมุสตาฟาจนไม่สามารถซ่อมแซมอะไรได้ไปแล้ว ตอนนี้คลื่นเสียงที่เข้ามาจะผ่านไปยังประสาทหูชั้นในเทียม เสียงที่เข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนมาจากใต้น้ำ ที่แย่กว่านั้นคือ ตัวรับเสียง ขาดความสามารถในการแยกแยะเสียงต่าง ๆ รับเอาเสียงรบกวนต่าง ๆ เข้ามาด้วย ยากต่อการเดาระยะทาง และทิศทาง บางครั้งตัวรับเสียงก็หอน หรือก้อง ๆ หรือไม่ก็สันพร่า แม้กระทั่งกับเสียงเบา ๆ ก็ตาม

แม้ปอดของเขา จะมีอากาศเขามาเติมตลอดเวลา แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การหายใจ

ตรงนี้แหละ ที่หุ่นยนต์แพทย์ล้มเหลวของจริง

หน้าอกของเขาถูกกล่องควบคุมรัดเอาไว้ สายเคเบิลหนา ๆ ทิ่มแทงเข้าไปในทรวงอก เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ช่วยหายใจ และเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจ เครื่องช่วยหายใจถูกติดตั้งอยู่ในหน้าอกที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน่าเกลียด ต่อเข้าโดยตรงกับท่อที่เชื่อมเข้ากับเนื้อปอด และหลอดลมที่หลงเหลือ แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด เพราะมันทำให้เขาสามารถหายใจด้วยตัวเองเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ

หน้าจอควบคุมส่งเสียงเตือนบ่อย ๆ แบบไม่มีเหตุผล และไฟกระพริบต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ ก็เป็นแค่เครื่องเตือนถึงความเปราะบางของเขา

เสียงหายใจแหบ ๆ ที่ดังต่อเนื่อง รบกวนการพักผ่อน ไม่ต้องพูดถึงการหลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสนจะหาได้ยากสำหรับเขา เพราะมันคือการสลับฉากกันของฝันร้ายที่บิดเบี้ยว ที่ผลัดกันออกมาหลอกหลอนด้วยเสียงของความเจ็บปวดทั้งหลายที่อยู่ในความทรงจำ

อย่างน้อยหุ่นยนต์แพทย์ก็ติดตั้งท่อช่วยหายใจในที่ที่อยู่ต่ำลงไป ทำให้เขาสามารถส่งเสียงผ่านกล่องเสียง ได้โดยมีเครื่องสังเคราะห์เปลี่ยนเสียงที่เหมือนเสียงกระซิบ ให้กลายเป็นเสียงแหบต่ำ

เขาสามารถกินอาหารทางปากได้เหมือนกัน แต่ก็เฉพาะเวลาที่เขาอยู่ในห้องปรับความดัน เพราะเขาไม่สามารถเอาเครื่องช่วยหายใจที่ติดอยู่กับหน้ากากออกได้ มันจึงง่ายกว่าที่เขาจะได้รับสารอาหารทางหลอดเลือด และต้องคอยพึ่งพาสายสวน ถุงกักเก็บ และระบบหมุนเวียน ในการจัดการกับของเสียต่าง ๆ

แต่อุปกรณ์เหล่านั้นทั้งหมดก็ทำให้เขาเคลื่อนตัวได้อย่างยากเย็น พูดถึงความสง่างาม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แผงเกราะหน้าอกที่ทำหน้าที่ปกป้องปอดเทียมมันช่างหนักอึ้ง เช่นเดียวกับปลอกดามคอที่จำเป็นต่อระบบที่ทำหน้าที่แทนกระดูกต้นคอทั้งหมด ที่เชื่อมต่อกับหมวกเทอะทะ ระบบหน้ากากช่วยหายใจอันละเอียดอ่อน แผลเป็นเละ ๆ บนหัวที่ไม่มีผม ที่เกิดจากปฏิบัติการช่วยชีวิตในช่วงการเดินทางกลับจากมุสตาฟามายังคอรัสซังต์ บนยานของซิเดียส

ผิวหนังที่ถูกเผาจนติดกระดูก ถูกแทนด้วยผิวหนังสังเคราะห์ที่คันตลอดเวลา และจะต้องถูกขัดถูทั่วร่างกายเพื่อเอาเนื้อตายออกเป็นประจำ

เขาได้ผ่านช่วงเวลาของการกลัวที่แคบ ช่วงเวลาของความสิ้นความหวังของการกำจัดชุดเกราะนี้ทิ้งไป เขาอยากสร้าง.. สร้างห้องที่เขาสามารถรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์อีกครั้ง..

ถ้ามันเป็นไปได้

ทั้งหมดทั้งมวล เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การมีชีวิต

นี่มันคือการจองจำในคุกที่เลวร้ายที่สุด เพื่อรับทัณฑ์ทรมานไปตลอดชีวิต เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเศษซากของชีวิต เป็นอำนาจที่ไร้เป้าหมาย...

เสียงถอนหายใจอย่างหดหู่ ออกมาจากหน้ากากช่วยหายใจ

เขาเตือนตัวเองให้ตั้งสติ แล้วก้าวผ่านช่องประตูออกไป..

Monday, December 17, 2012

แซนด์วิช

ก่อนศตวรรษที่ 18 ผู้คนรู้จักอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์หรือชีส ที่มีแผ่นขนมปังอยู่ประกบ 2 ข้างว่า "ขนมปัง และเนื้อ" (bread and meat) (หรือ ขนมปัง และชีส) ง่าย ๆ แค่นั้น แต่ก็เป็นอาหารของผู้คนหลายเชื้อชาติมาตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาล และก็ไม่มีใครสักคนรู้จักมันในชื่อของ แซนด์วิช เลย

อันที่จริงแล้ว แซนด์วิช (Sandwich) เป็นชื่อเมือง ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ

ในศตวรรษที่ 18 John Montagu ที่ชื่นชอบการเล่นไพ่ มักสั่งคนรับใช้ของเขาให้เอา ขนมปังประกบกับเนื้อ เพื่อป้องกันมือไม่ให้เปื้อนน้ำมันจากชิ้นเนื้อ เมื่อหยิบขึ้นมากิน ทำให้สามารถเล่นไพ่ต่อได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทำให้ไพ่เปื้อน

John Montagu ท่านนี้ จริง ๆ แล้ว ดำรงตำแหน่งขุนนางของอังกฤษ เป็น ท่านเอิร์ลลำดับที่ 4 แห่งแซนด์วิช (4th Earl of Sandwich) เมื่อคนในวงไพ่เห็นว่า วิธีการรับประทานขนมปังประกบเนื้อ แบบที่ John Montagu สั่ง เป็นวิธีที่เข้าท่าดี และได้รับความนิยมในวงไพ่มากขึ้นเป็นลำดับ เหล่าสมาชิกในวงไพ่จึงสั่งคนรับใช้บ้างว่า "เอาแบบ แชนด์วิช!" (Same as Sandwich!) เป็นจุดกำเนิดทำให้ผู้คนรู้จักอาหารชนิดนี้อย่างแพร่หลายในเวลาต่อมาว่า แซนด์วิช

ปัจจุบันตำแหน่ง Earl of Sandwich สืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึงลำดับที่ 11 ในขณะที่คำว่า แซนด์วิช ถูกนำไปใช้เป็นคำกิริยาของ "การประกบ"ของเอาไว้ตรงกลาง ที่กว้างขวางออกไปกว่าเดิม

แม้ John Montagu จะไม่ใช่พ่อครัวผู้คิดค้นแซนด์วิช แต่เขาเป็นผู้ออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้คนทั้งโลก ยอมรับอาหารชนิดนี้ และเรียกมันว่า แซนด์วิช

Wednesday, November 07, 2012

The Cobra Effect: ปรากฏการณ์งูเห่า

ในโลกที่ทุกอย่าง perfect ถ้าต้องการให้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางใดทางนึงแล้วล่ะก็ ให้หาสิ่งจูงใจมาแลกเปลี่ยน ใครเข้าร่วม ก็ได้รางวัลไป แค่นี้ก็เกิดเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการ แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่คาดฝัน การสร้างสิ่งจูงใจ อาจนำไปสู่ผลเลวร้าย ที่รู้จักกันในชื่อ ปรากฏการณ์งูเห่า (The Cobra Effect) :-

ในสมัยที่อังกฤษยึดอินเดียเป็นอาณานิคม ต้องการกำจัดงูเห่าให้หมดไป จึงให้ค่าหัว(งู)แก่ชาวบ้าน ที่นำซากงูมาแสดง ชาวบ้านให้ความสนใจเป็นอันมาก จนกระทั่ง เกิดธุรกิจฟาร์มเพาะพันธุ์งู เพื่อขายซากงูให้ทางการอังกฤษซะเลย

ในสมัยที่ฝรั่งเศสยึดเวียดนามเป็นอาณานิคม ต้องการกำจัดหนูให้หมดไปจากพื้นที่รอบชุมชนฝรั่งเศสในฮานอย จึงประกาศให้รางวัลแก่ชาวบ้าน ที่นำหางหนูมาแสดง ปรากฏมีชาวบ้านนำหางหนูมาขึ้นรางวัลเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางการฝรั่งเศสค้นพบในเวลาต่อมาว่า ชาวบ้านรอบชุมชนฝรั่งเศสแห่งนี้ทำอาชีพเพาะหนูตัดหางขายให้ทางการฝรั่งเศสอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

นักโบราณคดีในศตวรรษที่ 19 ประกาศให้รางวัลตอบแทนซากกระดูกโบราณ ที่คนงานเหมืองในประเทศจีนขุดพบในแต่ละชิ้น ดังนั้น เมื่อกระดูกถูกขุดพบ มันจะถูกทุบให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อจะได้นำไปแลกรางวัลได้หลาย ๆ ชิ้น

เจ้าของที่ดินในเขตที่มีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ตัดสินใจตัดต้นไม้ และทำลายแหล่งที่อยู่ของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์นั้นจนหมด ก่อนที่ที่ดินของตัวเองจะถูกประกาศเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า หมดหนทางทำประโยชน์จากที่ดินนั้นอีกต่อไป

รัฐบาลเม็กซิโกซิตี้ แก้ปัญหารถติดด้วยการจำกัดรถที่วิ่งได้ในวันคู่ และวันคี่ ตามป้ายทะเบียน คนในเม็กซิโกซิตี้ ก็เลยซื้อรถเพิ่มอีกคัน เพื่อจะได้ใช้รถทั้งวันคู่ และวันคี่ ส่วนรถที่ขายดีคือ รถรุ่นเก่าที่ประสิทธิภาพในการเผาผลาญเชื้อเพลิงต่ำ ผลสุดท้ายสร้างปัญหารถติด และมลภาวะมากกว่าเดิม (!!)

หน่วยดับเพลิงได้รับเงินสนับสนุนตามจำนวนเหตุเพลิงไหม้ที่ออกปฏิบัติการ งานด้านการป้องกันเพลิงไหม้จึงไปไม่ถึงไหน เพราะถ้าไม่มีเพลิงไหม้ ก็ไม่ได้เงินน่ะสิ

เรื่องเหล่านี้สอนให้รู้ว่า การเสนอแรงจูงใจ อาจไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการเสมอไป บางครั้งอาจทำให้เกิดผลตรงกันข้ามกับที่ต้องการก็เป็นได้

ใครมีตัวอย่างของ Cobra Effect ในชีวิตประจำวัน ลองมา share กันนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม:

Monday, September 24, 2012

The Greatest Show on Earth โดย Richard Dawkins


  • ลิงชิมแพนซี ไม่ใช่บรรพบุรุษของมนุษย์ แต่มนุษย์และลิงชิมแพนซีมีบรรพบุรุษร่วมกันต่างหาก
  • เต่าบกกับเต่าทะเล อะไรเกิดก่อนกัน? - เต่าบกเกิดก่อน แล้วส่วนนึงกลับลงไปในทะเล นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเต่าทะเลยังขึ้นมาวางไข่บนบก เพราะบนบกเคยเป็นบ้านของมัน
  • วิวัฒนาการของกระดองเต่า เกิดตั้งแต่บนบกหรือในทะเล? - กระดองส่วนล่างวิวัฒนาการในทะเล ส่วนกระดองส่วนบนวิวัฒนาการบนบก เพราะในทะเล ผู้ล่ามักมาจากข้างล่าง ส่วนบนบก ผู้ล่ามักมาจากข้างบน
  • หางของวาฬ และโลมา ไม่เหมือนหางของปลาอื่น ๆ - เพราะว่า ปลาทั่วไปอยู่ในน้ำมาตลอด วิวัฒนาการได้หางแนวตั้ง เพื่อเคลื่อนที่โดยขยับกระดูกสันหลังในแนวขวาง ซึ่งวิวัฒนาการต่อมาเป็นการเคลื่อนไหวของงูเลื้อย และสัตว์เลื้อยคลานอื่น ๆ
    ส่วนบรรพบุรุษของวาฬและโลมา เคยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่บนบก ซึ่งมีการเคลื่อนที่โดยการขยับกระดูกสันหลังในแนวบน-ล่าง วาฬและโลมา จึงวิวัฒนาการได้หางแนวนอน

    และอื่น ๆ อีกมากมาย
จากหนังสือ The Greatest Show on Earth โดย Richard Dawkins