Friday, December 30, 2011

ศาสตร์ของการลืม: การมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่ การมีความสามารถในการ'จำ' แต่เป็นความสามารถในการ'ลืม'

  • การลืม เป็นการเคลียร์ข้อมูลเก่าในอดีต เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับข้อมูลใหม่ในปัจจุบัน
  • ความจำ มักเกี่ยวข้องกับ อารมณ์ ความรู้สึก, การลืม จึงเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูจิตใจ หลังผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย
  • การไม่สามารถลืม มีความเกี่ยวข้องกับ ภาวะสมาธิสั้น (Attention Deficeit Hyperactive disorder:ADHD) และซึมเศร้า (แต่ไม่รู้อะไรเกิดก่อน)
เทคนิคการลืม
  • การบังคับลืม:"mental brake" ฝึกฝนได้ เพราะสมองมีกลไกการยังยั้ง hippocampus (ความจำ) โดย prefrontal cortex (คิด วางแผน บริหารจัดการ ยับยั้ง)
  • หาอย่างอื่นทำไปเลย (distraction) ในระหว่างที่นึกได้
  • หาสิ่งทดแทน (substitution) เกี่ยวกับเรื่องที่จำได้ แต่การลืมมักไม่สมบูรณ์
via: Scientific American

Thursday, December 29, 2011

คลี่คลายปริศนา ก้อน ๆ ที่สาย USB

  • ก้อน ๆ ที่สาย USB และสายสัญญาณของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ มีชื่อเล่นว่า choke
  • ส่วนประกอบภายในของ choke คือ สารประกอบเหล็กรูปแบบนึง (ferrite/iron oxide/สนิม)
  • เหตุผลของการมีอยู่ของ choke คือ เพื่อสลาย คลื่นรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (ElectroMagnetic Interference: EMI / noises) ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไปรบกวนอุปกรณ์ชิ้นอื่น ๆ (หน้าจอกระพริบ, ลำโพงมีเสียงรบกวน) -- เหมือนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
  • หลักการคือ เปลี่ยน EMI ให้เป็นความร้อน
  • เหตุผลที่มันต้องอยู่ตรงนั้น เพื่อตัดสัญญาณรบกวน แต่ไม่รบกวนสัญญาณเชื่อมต่อ
via: gizmodo , ภาพจาก phidgets inc

Tuesday, December 27, 2011

ศาสตร์ของเกล็ดหิมะ

  • เกล็ดหิมะ ไม่ใช่ ฝนที่กลายเป็นน้ำแข็ง แต่เป็น ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นของแข็ง โดยไม่ผ่านสถานะของเหลว
  • ไม่มีเกล็ดหิมะอันใดหน้าตาเหมือนกัน รูปร่างสุดท้ายของเกล็ดหิมะ  ขึ้นกับ การตกผ่านระดับอุณหภูมิต่าง ๆ กัน (0 ถึง -5 องศา เป็นแผ่นเล็ก, -5 ถึง -10 องศา เป็นแท่ง, -10 องศา เป็นแผ่นใหญ่) และระดับความชื้น
  • เกล็ดหิมะ เป็นที่สนใจของบุคคลในตำนานอย่าง Robert Hooke ผู้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์, นักปรัชญาอย่าง Descartes หรือแม้แต่ Johannes Kepler ผู้หลงใหลการเฝ้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า
  • การประดิษฐ์เกล็ดหิมะ เป็นงานอดิเรกของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก มีการจัดตั้ง เครือข่ายเกล็ดหิมะโลก โดยองค์การนาซ่า (!!) และเวบไซต์รวบรวมภาพเกล็ดหิมะจากทั่วโลก
ที่มา: Scientific American 1, 2

Sunday, December 25, 2011

คิดให้ดีก่อนซื้อ มือถือใหม่

คิดให้ดีก่อนซื้อ มือถือใหม่
  • 14% ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เท่านั้น ที่ถูก recycle
  • ขยะ recycle ที่ว่า ถูกส่งไปประเทศโลกที่ 3 (กานา เป็นอันดับ 1) โดยแปะป้ายว่า "ของบริจาค" (!!)
  • วิธีการ recycle ที่ว่า คือ หลอมเอาโลหะมีค่า (ตะกั่ว โครเมียม) ดูเหมือนรายได้ดี
  • ลงเอยด้วย มลภาวะ และโรค จากโลหะหนัก
 via: Scientific American

Monday, November 14, 2011

[Read] Carl Sagan's The Demon-Haunted World: เส้นแบ่งระหว่างวิทยาศาสตร์แท้-เทียม

The Demon-Haunted World: Science as a Candle in the Dark เป็นผลงานอีกเล่มหนึ่งของ Carl Sagan นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกสำคัญที่ได้แนะนำเรื่องราว ของโลกวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยงานเขียน และสารคดีที่กลายเป็นตำนานมาแล้วอย่าง Cosmos

หนังสือเล่มนี้เป็นผล งานในช่วงบั้นปลายของ Sagan ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995 (Sagan เสียชีวิตในปี 1996) ในหนังสือเล่มนี้ Carl Sagan ได้ตีเส้นแบ่งโลกของวิทยาศาตร์ (science) ออกจาก วิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) โดยอาศัยรากฐานของการคิดเชิงวิเคราะห์ และความช่างสงสัย (skeptical) ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถาม และวิธีการดำเนินการพิสูจน์ตามแบบของวิทยาศาสตร์ แทนที่จะใช้ความเชื่อเป็นตัวชี้นำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างที่เรา เจอกันบ่อย ๆ

ตัวอย่างของ pseudoscience ที่หนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ ก็คือเรื่องของปรากฏการณ์ถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว (alien abduction) ซึ่งซีรี่ย์ยอดนิยม ติดกลิ่นอาย scifi อย่าง The X-Files ได้นำมาใช้เป็นพล็อตเรื่องหลัก เรื่องราวมักจะเริ่มต้นจากเรื่องเล่าของเหยื่อที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว ไปทำการทดลองต่าง ๆ นานา ตั้งแต่การถูกจับ (มักจะเป็นในเวลากลางคืน) ถูกนำตัวไปทดลอง (ผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อออกจากร่างกาย โดยไม่ทิ้งแผลเป็น) การผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาว ความสามารถพิเศษในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ไปจะถึงข้อสงสัยที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปกปิดเรื่องที่มีการติดต่อกับมนุษย์ ต่างดาว (กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีสมคบคิดตามมาอีกต่างหาก แม้ว่าจะปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก) ที่น่าสนใจคือ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านการสะกดจิต แม้ว่าจะไม่เคยมีหลักฐานยืนยันจริง ๆ มาก่อนเลยก็ตามที แต่คนส่วนหนึ่งก็ยังคงปักใจเชื่อกับเรื่องนี้

ปรากฏการณ์ การถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาวที่เกิดขึ้นถูกนำไปเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ ปาฏิหาริย์ทางศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นในยุคศาสนจักร ซึ่งปรากฏการณ์ทั้ง 2 อันนี้ มีความเหมือนกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นทางด้านจิตวิทยา ความเชื่อ และความทรงจำ (ซึ่งช่วงหลัง ๆ เริ่มมีหลักฐานออกมาเรื่อย ๆ ว่า ความจำของคนเราเชื่อถือไม่ค่อยจะได้)

หนังสือเล่มนี้ยังได้วิจารณ์ การสนับสนุนด้านการศึกษา และวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ เรียกได้ว่า แนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ถูกใส่เข้าไปตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญของอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์อย่าง เบนจามิน แฟลงคลิน มีส่วนร่วมในการเขียนขึ้นมา แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นว่า งบประมาณสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์ถูกตัด และถูกนำไปใช้ทางด้านความมั่นคงอย่างไม่สมเหตุสมผล ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์น้อย และมีความเชื่อในวิทยาศาสตร์เทียมจนน่าตกใจ ซึ่งการใช้ความเชื่อนำหน้าเหตุผลนี้สามารถนำไปสู่เหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปรากฏการณ์"ล่าแม่มด"ในยุคกลาง (อ่านถึงตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง The Crucible ขึ้นมาเลย) เผด็จการฟาสซิสม์ และลัทธินาซี

สำหรับผู้ที่สนใจหาคำอธิบายเกี่ยวกับ การตั้งข้อสงสัย คำเล่าลือเกี่ยวกับอสุรกายต่าง ๆ บนโลกใบนี้แบบเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้ติดตามผลงานของ Carl Sagan The Demon-Haunted World เป็นหนังสือแนะนำ สามารถซื้อ kindle format ผ่านเวบ Amazon ได้ แต่ผลข้างเคียงของการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ อาจจะทำให้คุณอ่านนิยายแนวแฟนตาซีสนุกน้อยลง และมองนิยายวิทยาศาสตร์บางเรื่องเป็น pseudoscience ไปเลยก็เป็นได้

Tuesday, March 29, 2011

Lobotomy: โนเบลทางการแพทย์ที่ถูกลืม แต่ ฮอลลีวูดจำได้

ณ หอผู้ป่วยทางจิต คนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคจิตเภท ที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น และหมดทางเยียวยาด้วยการรักษาทางอื่น จะลงเอยด้วยการถูกนำไปทำการผ่าตัดเอาเนื้อสมองออกบางส่วน ที่เรียกว่า "Lobotomy" เพื่อหวังว่าจะลดพฤติกรรมก้าวร้าวลงได้ R.P. McMurphy เป็นคนไข้ใหม่ของที่นี่ เขาเป็นตัวป่วนที่ถูกมองว่าเป็นปัญหา เขากำลังจะถูกพิพากษาด้วยการทำ Lobotomy .. (-- One Flew Over the Cuckoo's Nest นำแสดงโดย Jack Nicholson จากบทประพันธ์ของ Ken Kesey)

Teddy Daniel เป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้รับการมอบหมายให้มาสอบสวนคดีคนไข้โรคจิตที่หายตัวไปจากห้องอย่างลึกลับ ก่อนหน้าที่จะพบความจริงที่ซ่อนอยู่ ของการรักษาโรคจิตเภทที่แพทย์ลงความเห็นว่า หมดทางเยียวยา ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล .. (-- Shutter Island นำแสดงโดย Leonado Di Caprio จาก บทประพันธ์ของ Dennis Lehane)

Baby Doll ถูกทารุณโดยพ่อเลี้ยง ถูกหาว่าฆาตกรรมน้องสาวของเธอเอง ถูกใส่ความว่าเป็นผู้ป่วยโรคจิต ถูกส่งเข้าสถานบำบัด และลงเอยด้วยการถูกจับมัดบนเก้าอี้ หมอผ่าตัดกำลังจะใช้เหล็กแหลมยาว แบบที่ใช้สกัดน้ำแข็ง จ่อไปเหนือดวงตา ใต้เปลือกตาบนแล้วเตรียมตอกเหล็กแหลมให้ทะลุเข้าไปถึงโพรงสมอง .. (-- Sucker Punch กำกับโดย Zack Snyder)



"เหล็กสกัดน้ำแข็ง" ภาพประกอบจาก wikipedia

ปกติแล้วฮอลลีวูดจะเว่อเสมอ แต่กับ Lobotomy นี่อาจจะไม่

แนวคิด ของ Lobotomy คือการทำลายเนื้อสมองบางส่วน ซึ่งตามทฤษฎีบอกว่า อาจจะเป็นต้นเหตุของวงจรผิดปกติในสมอง ทำให้คนวิกลจริต แนวคิดนี้มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่จะมีการใช้รักษาคนไข้โรคจิตเภทที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น (ในสมัยนั้น) ได้อีกแล้ว เทคนิคและแนวคิดถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ จนมาเฟื่องฟูในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย António Egas Moniz แพทย์ชาวโปรตุเกส ได้รับรางวัลโนเบล ในปี 1949 จากการรักษาผู้ป่วยด้วยการทำ Lobotomy หลังจากนั้น ก็มีผู้ป่วยปีละหลายพันคนที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดกระโหลกทำ Lobotomy ด้วยข้อบ่งชี้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ ไบโพลาร์ ภายใต้วิชาที่มีชื่อว่า การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคทางจิต (Psychosurgery)

แนวคิด และเทคนิคการทำ Lobotomy มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง Walter Freeman แพทย์ชาวอเมริกันได้ทำการคิดค้นวิธีการทำ Lobotomy แบบไม่ต้องผ่าเปิดกระโหลก แต่เปลี่ยนเป็นใช้เหล็กแหลมเจาะเข้าทางกระบอกตา ที่เรียกว่า Transorbital Lobotomy (-- ว่ากันว่าอุปกรณ์ที่ใช้ ได้ไอเดียมาจากเหล็กสกัดน้ำแข็งจริง ๆ) เพื่อเข้าไป"จัดการ"กับเนื้อสมอง ในส่วน frontal lobe ซึ่งด้วยวิธีที่ง่าย และรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมนี้ ทำให้มีคนไข้อีกนับพันราย ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าสมาธิสั้น

Sucker Punch ของ Martin Scorsese ไม่ได้แสดงภาพของการทำ Transorbital Lobotomy ที่โอเว่อร์เกินจริงแต่อย่างใด แต่เป็นกระบวนการจริง ๆ ที่เกิดขึ้น (วิดีโอการทำ transorbital lobotomy สด ๆ แนบอยู่ตอนท้ายของบทความนี้ คำเตือน: ถ้าหน้ามืดเป็นลมง่ายอย่าดูนะครับ)

Lobotomy ถูกลดความสำคัญลง หลังการมาของยาควบคุมอาการทางจิต ที่ให้ผลเทียบเท่า หรืออาจจะดีกว่า และคนไข้ไม่ต้องเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัด จำนวนคนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยการทำ Lobotomy จึงลดลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป แม้ว่า ปัจจุบันยังมีการทำ Lobotomy อยู่บ้าง ในศูนย์การแพทย์บางแห่ง แต่ก็ด้วยข้อบ่งชี้ที่ถูกจำกัดลงกว่าเดิม

ปัจจุบัน คนไข้ที่ได้รับการทำ Lobotomy บางคนยังมีชีวิตอยู่ และ 1 ในนั้นคือ Howard Dully ซึ่งเข้ารับการทำ lobotomy ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ได้เขียนเล่าประสบการณ์หลัง Lobotomy เอาไว้ในหนังสือ My Lobotomy เป็นหลักฐานยืนยันว่า การทำ Lobotomy นั้นไม่ได้ทำให้หายจากอาการทางจิตได้เสมอไป แต่ก็เป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ระดับรางวัลโนเบล ที่ถ้าไม่ถูกนำมาเล่าแล้ว เราคงไม่เชื่อว่ามันเคยมีอยู่จริง

วิดีโอสาธิต Lobotomy (คำเตือน: ไม่เหมาะสำหรับคนหน้ามืดง่ายครับ)

Monday, January 31, 2011

เมื่อ Star Wars mashup กับซอมบี้: Star Wars: Death Troopers


กระแสซอมบี้เริ่มเป็นที่รู้จัก นับตั้งแต่ Night of Living Dead ของ George A. Romero  เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นต้นมา แล้วก็มีการพัฒนาเป็นรูปแบบต่าง ๆ ในรูปแบบภาพยนตร์ กับหนังสือมาเรื่อย ๆ

นับตั้งแต่ Pride and Prejudice and Zombies ที่เอางานคลาสสิกของ Jane Austen มาผสมกับ zombies genre ก็ดูเหมือนว่า เรื่องของซอมบี้ (และแวมไพร์) จะสามารถเข้าไปแทรกอยู่ในเรื่องราวต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก

ในที่สุด zombies genre ก็ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Star Wars เรียบร้อยแล้ว ด้วยการเปิดตัวของ Star Wars: Death Troopers หนังสือเล่มแรกในชุดนี้

ในห้วงอวกาศที่ใดไม่ระบุ ในช่วงเวลาของจักรวรรดิ ครอบครองโดยจักรพรรดิ Palpatime และ Darth Vader...

ยานขนนักโทษลำหนึ่ง ได้บังเอิญไปพบกับ Star Destroyer ที่ควรจะจุคนได้หลายพัน ลอยแน่นิ่ง พร้อมกับสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ส่งออกมาเป็นระยะ แต่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

ทีมสำรวจถูกส่งขึ้นไปค้นหาอะไหล่ที่จะนำมาใช้ซ่อมยาน และได้พบกับสิ่งที่ยังคงเหลือรอด ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกเรือ Star Destroyer และเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ที่มี stormtrooper, blaster rifle, X-Wing, TIE fighter เป็นสิ่งประกอบฉาก และมีตัวเอกเป็นซอมบี้ แบบ 28 Days Later (ดุ วิ่งเร็ว ฉลาด น้ำลายยืด) วิ่งไล่ล่าเลือดสาดกระจายตลอดทั้งเล่ม

สำหรับแฟน Star War นั้น ตอน Death Troopers ยังไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักส่วนอื่นมากนัก เพราะเหตุการณ์ถูกจำกัดอยู่บนยานเพียงแค่ 2 ลำ และอาศัยฉาก เรื่องราว และเงื่อนเวลาของ Star Wars เป็นของประกอบเท่านั้น แต่ตัวอย่างบทแรกของ Star Wars: Red Harvest หนังสือเล่มต่อไปในชุดนี้ ทำให้รู้ว่าฝันร้ายกับซอมบี้ในจักรวาล Star Wars เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น.. คราวนี้ งานเข้า ทั้ง Sith และ Jedi เลยทีเดียว

มี trailer ด้วย ดูแล้ว ทำเป็นหนังท่าจะดี