Showing posts with label medical. Show all posts
Showing posts with label medical. Show all posts

Thursday, February 28, 2013

L'Inconnue de la Seine หญิงสาวนิรนาม แห่งแม่น้ำแซน

L'Inconnue de la Seine
ภาพประกอบจาก alimobasser.com

เรื่องราวของหญิงสาวนิรนาม ที่มีส่วนช่วยชีวิตคนทั่วโลก

ในปลายศตวรรษที่ 19 ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกนำขึ้นจากแม่น้ำแซนในกรุงปารีส โดยที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ ติดตัว และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายใด ๆ บนร่างกายของเธอ เมื่อร่างของเธอได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่เก็บร่างผู้เสียชีวิต อาจเป็นด้วยความงาม ความเยาว์วัย หรือรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า เมื่อผู้ดูแลสถานที่ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวนิรนามนี้ เขาได้ทำการหล่อหน้ากากเค้าโครงใบหน้า (death mask) ของเธอเก็บเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกเผยแพร่ในเวลาต่อมา

Maurice Blanchot นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้เขียนบรรยายถึงใบหน้าของเธอเอาไว้ว่า:
"ใบหน้าของหญิงสาวที่ดวงตาปิดสนิท แต่สว่างไสวด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย และปล่อยวาง ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดคิดมิได้ว่า เธอจมลงไปยังก้นแม่น้ำ โดยที่ยังอยู่ในห้วงเวลาอันแสนสุข"

ด้วยความงดงาม และปริศนารอยยิ้มน้อย ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ถึงขนาดมีผู้นำไปเปรียบเทียบกับรอยยิ้มในตำนานอย่างโมนา ลิซ่า  ทำให้หน้ากากเค้าโครงใบหน้าของเธอ ถูกคัดลอกต่อ ๆ กันอย่างแพร่หลาย เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเก็บสะสมผลงานศิลปะในยุคนั้น และกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของฝร่ังเศสในช่วงทศวรรษที่ 1920 และด้วยความเป็นมา และการตายของเธอที่ยังคงเป็นปริศนามาตลอด ทำให้เกิดตำนานเล่าขานไปทั่วยุโรป ในรูปแบบของนวนิยาย บทกวี และบทละคร บ้างก็ว่าเธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยสาเหตุจากความคับแค้นยากจน บ้างก็ว่า เป็นโศกนาฏกรรมระหว่างเธอกับชายหนุ่มในตระกูลสูงศักดิ์ ที่จบลงด้วยความรักที่ไม่สมหวัง และการทำอัตวินิบาตกรรม

เวลาล่วงเลยมาอีก 80 ปี ในช่วงทศวรรษ 1960 Asmund S. Laerdal เจ้าของกิจการของเล่น ร่วมมือกับ แพทย์ชาวออสเตรีย ชื่อ Peter Safar ผู้คิดริเริ่มวิธีการช่วยชีวิตผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น (CardioPulmonary Resuscitation: CPR) ผลิตหุ่นสำหรับสอนช่วยชีวิตที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนคนจริงขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่า หุ่นที่มีขนาด และรูปร่างลักษณะเหมือนกับคนจริง จะทำให้ผู้เรียนมีความกะตือรือร้นในการฝึกทักษะการช่วยชีวิตมากยิ่งขึ้น จากความประทับใจที่มีต่อตำนานโศกนาฏกรรมของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ทำให้ Asmund Laerdal เลือกเค้าโครงใบหน้าของเธอ เป็นต้นแบบใบหน้าของหุ่นสำหรับการสอนช่วยชีวิต ที่มีชื่อว่า Resusci Anne ตั้งแต่บัดนั้น

หุ่น Resusci Anne รุ่นแรก เริ่มต้นจากการเป็นหุ่นสำหรับฝึกการช่วยชีวิตตามหลักการในยุคนั้น ได้แก่ การเปิดทางเดินหายใจ "A" ด้วยการเงยศีรษะ และเชยคาง (head tilt-chin lift) และการผายปอด "B" ด้วยการทำ mouth-to-mouth ในเวลาต่อมา เมื่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการกดหน้าอก (chest compression) เพื่อให้มีการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองเกิดขึ้น Resusci Anne ก็ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในเรื่องของการฝึกกดหน้าอกเช่นเดียวกัน เวลาผ่านไป กิจการของ Laerdal ก็ได้ผันตัวเองจากผู้ผลิตของเล่น มาเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และอุปกรณ์ฝึกช่วยชีวิต ในปัจจุบัน

สำหรับหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องราว หรือแม้แต่ชื่อจริง ๆ ของเธอเลยก็ตาม แต่จนถึงวันนี้ใบหน้าของเธอ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหุ่น Resusci Anne ที่เป็นต้นแบบสำหรับฝึกสอนการช่วยชีวิตให้กับผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก จนได้รับการขนานนามว่า เป็น"ใบหน้าที่ถูกจุมพิตมากที่สุดในโลก" จากการฝึกผายปอดช่วยชีวิตไปแล้ว

ปัจจุบันรูปหล่อใบหน้าต้นฉบับของหญิงสาวนิรนามแห่งแม่น้ำแซน ถูกเก็บรักษาไว้ที่ The Museum of the Order of St John กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ที่มา:
Laerdal - History
Wikipedia - L'Inconnue de la Seine

Monday, January 23, 2012

เมื่อการลดขนาดของก้อนมะเร็ง อาจไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป


  • ยารักษามะเร็งบางตัว มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเส้นเลือด (anti-angiogenesis) ที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง โดยมีเป้าหมายทำให้ก้อนมะเร็งขาดเลือด และขนาดเล็กลง
  •  บางครั้ง การขาดเลือด อาจกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเกิดพฤติกรรม'เอาชีวิตรอด' โดยการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น (metastasis) มากขึ้น ลงท้ายด้วยก้อนมะเร็งที่เล็กลง แต่อาการคนไข้แย่ลง (จากการทดลองในหนู) ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง
  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การใช้ยารักษามะเร็งชนิดที่ไม่ตรงกับชนิดของเซลล์ที่มีผลการศึกษาวิจัยรองรับ (off-label use) อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีก็เป็นได้
via Cancer Cell via gizmodo

Tuesday, March 29, 2011

Lobotomy: โนเบลทางการแพทย์ที่ถูกลืม แต่ ฮอลลีวูดจำได้

ณ หอผู้ป่วยทางจิต คนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคจิตเภท ที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น และหมดทางเยียวยาด้วยการรักษาทางอื่น จะลงเอยด้วยการถูกนำไปทำการผ่าตัดเอาเนื้อสมองออกบางส่วน ที่เรียกว่า "Lobotomy" เพื่อหวังว่าจะลดพฤติกรรมก้าวร้าวลงได้ R.P. McMurphy เป็นคนไข้ใหม่ของที่นี่ เขาเป็นตัวป่วนที่ถูกมองว่าเป็นปัญหา เขากำลังจะถูกพิพากษาด้วยการทำ Lobotomy .. (-- One Flew Over the Cuckoo's Nest นำแสดงโดย Jack Nicholson จากบทประพันธ์ของ Ken Kesey)

Teddy Daniel เป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้รับการมอบหมายให้มาสอบสวนคดีคนไข้โรคจิตที่หายตัวไปจากห้องอย่างลึกลับ ก่อนหน้าที่จะพบความจริงที่ซ่อนอยู่ ของการรักษาโรคจิตเภทที่แพทย์ลงความเห็นว่า หมดทางเยียวยา ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล .. (-- Shutter Island นำแสดงโดย Leonado Di Caprio จาก บทประพันธ์ของ Dennis Lehane)

Baby Doll ถูกทารุณโดยพ่อเลี้ยง ถูกหาว่าฆาตกรรมน้องสาวของเธอเอง ถูกใส่ความว่าเป็นผู้ป่วยโรคจิต ถูกส่งเข้าสถานบำบัด และลงเอยด้วยการถูกจับมัดบนเก้าอี้ หมอผ่าตัดกำลังจะใช้เหล็กแหลมยาว แบบที่ใช้สกัดน้ำแข็ง จ่อไปเหนือดวงตา ใต้เปลือกตาบนแล้วเตรียมตอกเหล็กแหลมให้ทะลุเข้าไปถึงโพรงสมอง .. (-- Sucker Punch กำกับโดย Zack Snyder)



"เหล็กสกัดน้ำแข็ง" ภาพประกอบจาก wikipedia

ปกติแล้วฮอลลีวูดจะเว่อเสมอ แต่กับ Lobotomy นี่อาจจะไม่

แนวคิด ของ Lobotomy คือการทำลายเนื้อสมองบางส่วน ซึ่งตามทฤษฎีบอกว่า อาจจะเป็นต้นเหตุของวงจรผิดปกติในสมอง ทำให้คนวิกลจริต แนวคิดนี้มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่จะมีการใช้รักษาคนไข้โรคจิตเภทที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น (ในสมัยนั้น) ได้อีกแล้ว เทคนิคและแนวคิดถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ จนมาเฟื่องฟูในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย António Egas Moniz แพทย์ชาวโปรตุเกส ได้รับรางวัลโนเบล ในปี 1949 จากการรักษาผู้ป่วยด้วยการทำ Lobotomy หลังจากนั้น ก็มีผู้ป่วยปีละหลายพันคนที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดกระโหลกทำ Lobotomy ด้วยข้อบ่งชี้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ ไบโพลาร์ ภายใต้วิชาที่มีชื่อว่า การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคทางจิต (Psychosurgery)

แนวคิด และเทคนิคการทำ Lobotomy มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง Walter Freeman แพทย์ชาวอเมริกันได้ทำการคิดค้นวิธีการทำ Lobotomy แบบไม่ต้องผ่าเปิดกระโหลก แต่เปลี่ยนเป็นใช้เหล็กแหลมเจาะเข้าทางกระบอกตา ที่เรียกว่า Transorbital Lobotomy (-- ว่ากันว่าอุปกรณ์ที่ใช้ ได้ไอเดียมาจากเหล็กสกัดน้ำแข็งจริง ๆ) เพื่อเข้าไป"จัดการ"กับเนื้อสมอง ในส่วน frontal lobe ซึ่งด้วยวิธีที่ง่าย และรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมนี้ ทำให้มีคนไข้อีกนับพันราย ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าสมาธิสั้น

Sucker Punch ของ Martin Scorsese ไม่ได้แสดงภาพของการทำ Transorbital Lobotomy ที่โอเว่อร์เกินจริงแต่อย่างใด แต่เป็นกระบวนการจริง ๆ ที่เกิดขึ้น (วิดีโอการทำ transorbital lobotomy สด ๆ แนบอยู่ตอนท้ายของบทความนี้ คำเตือน: ถ้าหน้ามืดเป็นลมง่ายอย่าดูนะครับ)

Lobotomy ถูกลดความสำคัญลง หลังการมาของยาควบคุมอาการทางจิต ที่ให้ผลเทียบเท่า หรืออาจจะดีกว่า และคนไข้ไม่ต้องเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัด จำนวนคนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยการทำ Lobotomy จึงลดลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป แม้ว่า ปัจจุบันยังมีการทำ Lobotomy อยู่บ้าง ในศูนย์การแพทย์บางแห่ง แต่ก็ด้วยข้อบ่งชี้ที่ถูกจำกัดลงกว่าเดิม

ปัจจุบัน คนไข้ที่ได้รับการทำ Lobotomy บางคนยังมีชีวิตอยู่ และ 1 ในนั้นคือ Howard Dully ซึ่งเข้ารับการทำ lobotomy ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ได้เขียนเล่าประสบการณ์หลัง Lobotomy เอาไว้ในหนังสือ My Lobotomy เป็นหลักฐานยืนยันว่า การทำ Lobotomy นั้นไม่ได้ทำให้หายจากอาการทางจิตได้เสมอไป แต่ก็เป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ระดับรางวัลโนเบล ที่ถ้าไม่ถูกนำมาเล่าแล้ว เราคงไม่เชื่อว่ามันเคยมีอยู่จริง

วิดีโอสาธิต Lobotomy (คำเตือน: ไม่เหมาะสำหรับคนหน้ามืดง่ายครับ)

Saturday, December 04, 2010

The Science behind The Pain: The Evidence ว่าด้วยการรับรู้ความเจ็บปวด

สมองตำแหน่ง anterior cingulate cortex นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธ ถูกละเลย เป็นส่วนเกินแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งของวงจรเดียวกับอารมณ์ความรู้สึกที่ตอบสนองต่อความเป็นปวดทางกายด้วย (ทำไมต้องตูวะ? -- why me?)

จึง มีการทดลองใช้ยาแก้ปวด paracetamol ธรรมดานี่ล่ะ มาทดลองกับสถานการณ์จำลองการถูกปฏิเสธ โดยให้เล่นเกมส่งลูกบอลในคอมพิวเตอร์ ระหว่างผู้ถูกทดสอบกับคอมพิวเตอร์ แล้วลงเอยด้วยผู้ถูกทดสอบถูกละเลยออกจากเกม ไม่มีใครส่งลูกบอลมาให้ (ถูกปฏิเสธ -- เจ็บปวด) พบว่า กลุ่มที่กิน paracetamol ก่อนทดลองรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธน้อยกว่า

อีกแนวคิดหนึ่งคือ การศึกษาเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเองแบบไม่มีเจตนา ฆ่าตัวตาย (nonsuicidal self-injury: NSSI) ด้วยคำอธิบายว่า การทำให้เกิดความเจ็บปวดทางกาย และบรรเทาลง ทำให้ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ลดลงไปด้วย โดยเป็นอีกกลไกหนึ่งแยกต่างหากจากการทำร้ายตัวเองเพื่อลงโทษ (punishment) ตามแบบของ Pavlov ที่มีความเชื่อกันมาอยู่เดิม

ในช่วงหลัง ๆ จึงเริ่มมีความเชื่อ และนำไปสู่การพิสูจน์ว่า กลไกความรู้สึกเจ็บปวดทางกาย และทางความรู้สึกมีความใกล้ชิดกันมากกว่าที่คิด และการบรรเทาความเจ็บปวดทางกาย สามารถช่วยลดความเจ็บปวดทางจิตใจได้เช่นเดียวกัน

ว่าแล้วก็เชิญเสพ Something for the Pain เพื่อบำบัดความเจ็บปวดกันต่อไปนะครับ

ที่มา:

Tuesday, November 03, 2009

Burnout... หมดไฟ...

ช่วงนี้เจอกับเหตุการณ์อันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ่อยจนผิดปกติ บางเรื่องก็เพิ่งรู้ว่ามันก็เป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งของ burnout ได้ด้วย (เป็นเองโดยไม่รู้สึกตัว!)

เรื่อง Burnout นี่ แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์เองก็ยังไม่รู้จักเรื่องนี้ดีเท่าไหร่ ตำราแพทย์ (อาจจะยกเว้นตำราจิตแพทย์) แทบจะไม่เคยเขียนถึงเลยด้วยซ้ำ ที่จะมีกล่าวถึงแล้วผมไปอ่านเจอก็คงเป็น Tintinalli's Emergency Medicine พูดถึงปลายทางของ burnout ใน Chapter 294 เรื่อง Physician's Well-being ว่า หมอที่เกิดอาการจะลงเอยด้วยการดูแลผู้ป่วยที่แย่ลง ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานลดลง เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ บางครั้งเกิดการแสดงออกทางกาย (somatoform disorder) และพฤติกรรม นำไปสู่การใช้ยา ติดเหล้า และโรคซึมเศร้า

ที่จริงแล้วอาการ burnout เกิดได้ในทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่ทำงานภายใต้สภาวะกดดัน ร่วมกับความต้องการพิสูจน์ตัวเองในหน้าที่การงาน ที่สำคัญคือ มันจะเกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต นอกจากนี้ ยังไม่จำเป็นว่าคน 2 คนที่ทำงานภายใต้สถานการณ์เดียวกัน จะต้องเกิด burnout แบบเดียวกัน หรือพร้อมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการกับจิตใจตัวเองด้วย

วารสาร Scientific American Mind เดือนกรกฎาคม 2006 ได้กล่าวถึง Burnout cycle ของ Herbert Freudenberger ไว้ว่ามี 12 ระยะด้วยกัน โดยอาจจะมีการข้าม step หรือเกิดพร้อมกันก็ได้ แต่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ดังนี้ (คำแปลไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ :P)
1. ความต้องการพิสูจน์ตัวเอง (Compulsion to prove oneself) จุดเริ่มตันของหายนะที่จะตามมา นำไปสู่ระยะที่ 2
2. พยายามทำงานหนักขึ้น (Working Harder) คาดหวังสูง พยายามจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง นำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่มีใครสามารถทำแทนได้ ("irreplacability")
3. ละเลยความสุขส่วนตัว (Neglecting their needs) ทุ่มเททุกอย่างให้งาน ลดเวลานอน สละเวลากิน เลิกพบปะเพื่อนฝูง ลดความสำคัญของครอบครัว
4. ความรู้สึกขัดแย้ง แปลกแยก (Displacement of conflicts) เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่ถูกต้อง ไม่สามารถบ่งบอกที่มาได้ คนรอบข้างจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะนี้
5. เปลี่ยนทิศทางการประเมินตัวเอง (Revision of values) การแยกตัว ทุ่มเทกับงาน ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่น ทำให้การประเมินค่าของตัวเอง ขึ้นอยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น เกิดอารมณ์เฉยเมย (emotionally blunted)
6. ไม่ยอมรับปัญหา (Denial of emerging problems) ความอดทนที่ลดต่ำลง มองเพื่อนร่วมงานในแง่ร้าย รู้สึกว่าถูกกินแรง เกิดความไม่ไว้ใจ นำไปสู่การแสดงออกที่ก้าวร้าว และมองว่าสาเหตุของปัญหาเป็นเรื่องของปริมาณงานที่แบกรับเอาไว้ และเวลาทำงานที่ไม่เคยพอ
7. เลิกติดต่อกับผู้คน (Withdrawal) ปิดกั้นตัวเอง ความรู้สึกหมดหวัง หมดหนทางเริ่มแทรกซึมเข้ามา มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เริ่มใช้ตัวช่วยอย่าง ยา หรือเหล้า
8. พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง (Obvious behavioral changes) คนรอบข้างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในขณะที่ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าเพิ่มพูนขึ้น
9. จิตหลุด (Depersonalization) มองไม่เห็นความต้องการของตัวเอง มองไม่เห็นทางออก มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เป็นหุ่นยนต์
10. ชีวิตนี้ช่างว่างเปล่า (Inner Emptiness) แต่ความรู้สึกไม่อยากหายใจทิ้ง นำไปสู่การ "หาอะไรทำ" เที่ยวกลางคืน กินเหล้า เมายา อย่างหนัก
11. ซึมเศร้า (Depression) อาการของโรคซึมเศร้าปรากฏ หงอย หมดหวัง หมดแรง ชีวิตหมดความหมาย
12. หมดไฟ (Burnout syndrome) ถ้ามาถึงตรงนี้แล้ว คนที่หาทางออกไม่ได้ บ้างก็แสดงออกทางกาย (somatoform disorder) บ้างก็ทำให้เกิดอาการทางจิต (mental collapse)

อ่านดูแล้ว มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้สึกตัวได้เอาง่าย ๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกอาการ burnout นี้บ่อนทำลายชีวิตส่วนตัว และคนรอบข้างไปหลายแล้ว

ขอให้ท่านที่ผ่านมาอ่านข้อความเหล่านี้ รักษาตัวให้รอดพ้นจากอาการหมดไฟนี้ครับ

Note 1: แหล่งอื่นที่ผมอ่านเจอข้อมูลเกี่ยวกับ burnout กะเขาด้วย ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันนี้ คือ หนังสือ The Art of Community ของ @jonobacon (download ไปอ่านกันได้ฟรีครับ ที่ http://www.artofcommunityonline.org/)
Note 2: คำแปล "burnout" อันแรกที่นึกถึงคือ "เผามันให้วอด" หึ หึ
Note 3: ช่างบังเอิญ หนังสือออกใหม่ที่ไปเห็นมา สด ๆ ร้อน ๆ "Something for the Pain: Compassion and Burnout in ER" (เข้ากับชีวิตน่าดู) เก็บไว้ในโครงการหามาอ่านในโอกาสต่อไป
Note 4: หาหนังสือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ของท่านพุทธทาส มาอ่านคู่ด้วย น่าจะได้ความต่อเนื่องเป็นอย่างมาก