Youtube HD Trailer
Food Inc เป็นสารคดีแนวกระตุกความคิดในสิ่งที่อยู่รอบตัว และชีวิตประจำวัน ให้เปลี่ยนพฤติกรรม (ดูแล้วให้ความรู้สึกประมาณ An Inconvenient Truth และ Supersize me) เปิดเผยหลังฉากของอุตสาหกรรมอาหาร ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยทุน ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าของวงจรการบริโภค ไปจนเราแทบจำไม่ได้ แม้ว่าตัวอย่างในสารคดี จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งที่นำเสนอก็มีบางประเด็นที่เข้ากับสถานการณ์ของบ้านเราได้ไม่น้อย
เมื่อการขับเคลื่อนเป็นไปโดยทุน เกษตรกรถูกแปรสภาพเป็นทาสเงินกู้ และแรงงานในสายการผลิต โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมอาหาร เป็นคนกำหนดวิธีการผลิต โดยใช้เหตุผลทางด้านเทคโนโลยี แต่ราคาผลผลิตกลับถูกกดจนเตี้ยติดดิน เพราะถูกกระตุ้นให้เกิด overproduction (คุ้น ๆ)
แต่การผลิตแบบที่ภาคอุตสาหกรรมให้การสนับสนุน (เลี้ยงไก่จำนวนมาก แออัดในพื้นที่ปิดแคบ มืด ให้กินอาหารสำเร็จรูป ไม่ได้ออกกำลัง อัดยาปฏิชีวนะ และฮอร์โมน แล้วบอกว่าเป็นวิธีที่ถูกในการป้องกันโรคระบาด -- คุ้นมาก) ต้องทำให้เรากลับมาตั้งคำถามว่า มันส่งผลดีต่อผู้บริโภค ในแง่ของการควบคุมโรคติดต่อจริง ๆ หรือด้วยเหตุผลเพพื่อเป็นการลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตกันแน่
ด้วยระบบที่เป็นอุตสาหกรรม (ผลิตจำนวนมาก และจำเป็นต้องมีมาตรฐาน) และการให้ความสำคัญของสิทธิผู้บริโภค ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์กับผู้บริโภค (กรณีการปนเปื้อนของ E.coli และ salmonella ในสารคดี) จึงสาวกลับไปหาผู้รับผิดชอบได้ แต่กว่าจะเก็บสินค้าออกจากตลาดก็ปาเข้าไป 2 สัปดาห์ ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา มีโรคที่เกิดจากอาหารเต็มไปหมด แต่ไม่ได้มีประเด็นฟ้องร้องกัน และการตรวจสอบก็คงทำไม่ได้ง่ายนัก เพราะจากกรณีที่เกิดขึ้นจริงในเมืองไทยก็คือ มีเด็กท้องเสียหลังจากกินอาหารอย่างเดียวกัน คำตอบที่ได้จากการโทรไปแจ้งที่กรมควบคุมโรคก็คือ มีไข้ขึ้นแล้วค่อยโทรมา!
อย่างไรก็ตาม สารคดีก็ได้เสนอทางออกให้กับผู้บริโภค ส่งสัญญาณให้กับผู้ผลิตให้เปลี่ยนแปลง ซึ่งทางออกก็คือผลผลิตจาก organic farm (ราคาน่าจะลดลงซักหน่อย)
Official site
แถมท้ายด้วย วิดีโอ Dan Barber แห่ง TED Talks
Showing posts with label movies. Show all posts
Showing posts with label movies. Show all posts
Sunday, March 28, 2010
Wednesday, January 06, 2010
"คำหวาน" & "Playing Love"
จดไว้กันลืม:
เห็นครั้งแรก: "คำหวาน" ใน โหมโรง, เห็นครั้งที่ 2: "Playing Love" ใน The Legend of 1900
Note:
... ฉัน นั่งอยู่กับเครื่องดนตรี ตามองตรงไปข้างหน้า
เธอ เดินช้า ๆ ผ่านเข้ามาในลานสายตา
ฉัน เริ่มเล่นเครื่องดนตรีในมือ ...
ท่วงทำนอง ดังขึ้น ณ ที่นี้ เป็นครั้งแรก และอาจเป็นครั้งเดียวบนโลกใบนี้...
เห็นครั้งแรก: "คำหวาน" ใน โหมโรง, เห็นครั้งที่ 2: "Playing Love" ใน The Legend of 1900
Note:
- ที่จริง The Legend of 1900 (1998) ออกฉายก่อน โหมโรง (2004)
- นอกจาก "คำหวาน" & "Playing Love" แล้ว ฉากดวลระนาดเอกจนเหงื่อโซมกายของ นายศร v.s. ขุนอิน กับฉาก duel เปียโนของ 1900 v.s. Jelly Roll Morton ก็ให้ความรู้สึก deja vu เหมือนกัน
- ดู The Legend of 1900 จบแล้ว เพิ่งเห็นว่า ผู้กำกับก็คือ Giuseppe Tornatore เจ้าเดียวกับ Cinema Paradiso เมื่อคราวก่อน
Wednesday, September 09, 2009
Cinema Paradiso
ในคำนำของหนังสือเรื่อง คนเล็ก หัวใจมหึมา มหาสมุทร ของ ประชาคม ลุนาชัย เล่าถึง การเดินทางกลับบ้านของคนพเนจรคนหนึ่ง บ้านที่มีคนเฝ้ารอยินดีกับการเดินทางกลับไปของเขา แม้ว่าการเดินทางนั้นจะเป็นเดินทางกลับไปมือเปล่า เหนื่อยล้า และอาจใช้เวลาชั่วชีวิต
โตโต้ ในหนัง Cinema Paradiso ก็เดินทางกลับบ้าน บ้านที่เขาเกิดและเติบโตใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวัยเด็ก และวัยรุ่น ก่อนที่วันหนึ่งจะตัดสินใจเดินทางจากไปและตั้งใจว่าจะไม่เหลียวหลังกลับมาอีก แม้ว่าในหนัง ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่โตโต้ได้ทำหลังจากที่เดินทางออกมา ว่าได้ทำอะไรสำเร็จไปบ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดี และกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่เขาไม่รู้จัก ในสถานที่ของคนแปลกหน้า อยู่ในความรู้สึกแปลกแยกอยู่เช่นนั้น
โตโต้เดินทางกลับบ้านอีกครั้ง ในอีก 30 ปีต่อมา
มาร่วมพิธีศพ
พิธีศพของคนที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็ก เป็นส่วนสำคัญในชีวิตในระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น พร้อม ๆ กับช่วงเวลาเหล่านั้นที่หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
ณ ที่ตรงนั้นทำให้โตโต้ได้รู้ว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาไปแล้ว
บางที เราคงจะต้องออกเดินทางไปเพื่อจุดหมายอะไรบางอย่าง ทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าและความหมายอะไรมากมาย จนไปถึงจุดที่เราเริ่มสงสัยว่ามาอยู่ในที่ที่ยืนอยู่นี้ได้อย่างไร และกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่แล้วนั่นแหละ เราถึงจะได้มองย้อนหลังกลับมาพบว่า สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อนานมาแล้ว และเราก็เดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้นไกลมากแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อเราเดินทางกลับไปในสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้น เรากลับพบว่า ตัวเราเองก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้นไปแล้ว ในขณะเดียวกัน เราก็พบตัวเราเองกำลังเป็นพยานของการเคยมีอยู่ของมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะถูกกระแสของกาลเวลาพัดพาไป
แล้วเราก็จะแยกย้ายกันไป
เมื่อฝุ่นจางลง สิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของคนอื่น ๆ ในที่แห่งนั้น ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ไม่มีใครจำได้ ว่างเปล่า และเงียบงันเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โตโต้ ในหนัง Cinema Paradiso ก็เดินทางกลับบ้าน บ้านที่เขาเกิดและเติบโตใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวัยเด็ก และวัยรุ่น ก่อนที่วันหนึ่งจะตัดสินใจเดินทางจากไปและตั้งใจว่าจะไม่เหลียวหลังกลับมาอีก แม้ว่าในหนัง ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่โตโต้ได้ทำหลังจากที่เดินทางออกมา ว่าได้ทำอะไรสำเร็จไปบ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดี และกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่เขาไม่รู้จัก ในสถานที่ของคนแปลกหน้า อยู่ในความรู้สึกแปลกแยกอยู่เช่นนั้น
โตโต้เดินทางกลับบ้านอีกครั้ง ในอีก 30 ปีต่อมา
มาร่วมพิธีศพ
พิธีศพของคนที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็ก เป็นส่วนสำคัญในชีวิตในระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น พร้อม ๆ กับช่วงเวลาเหล่านั้นที่หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
ณ ที่ตรงนั้นทำให้โตโต้ได้รู้ว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาไปแล้ว
บางที เราคงจะต้องออกเดินทางไปเพื่อจุดหมายอะไรบางอย่าง ทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าและความหมายอะไรมากมาย จนไปถึงจุดที่เราเริ่มสงสัยว่ามาอยู่ในที่ที่ยืนอยู่นี้ได้อย่างไร และกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่แล้วนั่นแหละ เราถึงจะได้มองย้อนหลังกลับมาพบว่า สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อนานมาแล้ว และเราก็เดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้นไกลมากแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อเราเดินทางกลับไปในสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้น เรากลับพบว่า ตัวเราเองก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้นไปแล้ว ในขณะเดียวกัน เราก็พบตัวเราเองกำลังเป็นพยานของการเคยมีอยู่ของมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะถูกกระแสของกาลเวลาพัดพาไป
แล้วเราก็จะแยกย้ายกันไป
เมื่อฝุ่นจางลง สิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของคนอื่น ๆ ในที่แห่งนั้น ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ไม่มีใครจำได้ ว่างเปล่า และเงียบงันเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
Monday, August 17, 2009
I Am Legend ตำนานที่ถูกผมเข้าใจผิด
ก่อนหน้าที่จะได้ดู I Am Legend ก็เคยได้ยินเสียงวิจารณ์ไปในทางบวกตั้งแต่ตอนที่หนังยังอยู่ในโรงเมื่อ 2 ปีก่อน
สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับหนังก็คือ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์กภายหลังโรคระบาดบางอย่าง และอุตส่าห์ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเพื่อให้สมจริง ฟังแล้วก็เข้าทำนองเลียนแบบ Tom Hanks ใน Castaway แต่เปลี่ยนจากติดเกาะ เป็นอยู่กลางกรุงแทน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่
ความรู้สึกแรกหลังจากดูจบ ก็คือ I Am Legend ก็แค่หนังแนวเดียวกับหนังโรคระบาดที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, Resident Evil ซึ่งสาวไปได้ถึงต้นตำรับหนังแนวซอมบี้ (zombie genre) นำโดยเจ้าของตำนานอย่าง George A. Romero ต้นกำเนิดของหนังตระกูล "The Dead" ทั้งหลาย (Night of Living Dead, Day of the Dead, Dawn of the Dead, Land of the Dead ฯลฯ) ซึ่งริเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี 1968 โน่น
ผมเข้าใจว่า I Am Legend ก็เป็นแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น
ผมเข้าใจผิดมหันต์
I Am Legend ต่างหากที่เป็นต้นตำรับ ของสิ่งที่ผมพิมพ์ไปข้างบนทั้งหมด
I Am Legend เป็นผลงานนวนิยายขนาดไม่ยาวมาก ของ Richard Matheson (เคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้กันไหมครับ?) ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1974 (เป็นอนาคตในตอนที่เขียน) เล่าเรื่องของ Robert Neville มนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรคระบาด ที่ต้องเผชิญกับ "ผู้ติดเชื้อ" (ผู้เขียนเรียกว่าแวมไพร์ ไม่ใช่ ซอมบี้ หรือ Darkseekers หรือ Hemocytes) ที่กลับมาจากโลกของความตายหลังพระอาทิตย์ตกดิน นำไปสู่การค้นพบต้นเหตุของโรคระบาด และลงเอยด้วยบทสรุปที่ไม่เหมือนในภาพยนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงแล้ว ตัวบทประพันธ์ I Am Legend เองก็เคยทำเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ครั้ง ในชื่อ The Last Man on Earth (1964), The Omega Man (1971) และ I am Legend (2007) ดังนั้นในแง่ของต้นกำเนิดแล้ว I Am Legend ของ Richard Matheson เกิดก่อน และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ของ George A. Romero ซึ่งสร้าง Night of Living Dead ภาคแรกออกมาหลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี จนกลายมาเป็น"แนวซอมบี้"ในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Stephen King ก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจาก I Am Legend ในงานเขียนเรื่อง Cell (แต่ผมคิดว่า เรื่องของแวมไพร์อย่าง Salem's Lot ก็มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่ไม่น้อย) เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ Richard Matheson ก็ได้รับความนิยมในขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นตำนานของวงการเรื่องสยองขวัญคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ยังไม่หมด
จากการค้นเจอข้อมูลของ Richard Matheson ยังนำผมไปสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง เช่น Stir of Echoes (หนังสยองขวัญ - Kevin Bacon นำแสดง), What Dreams May Come (romantic - Robin Williams) และ Somewhere in Time (อ่านไม่ผิดครับ! หนัง romantic อมตะที่นำแสดงโดย Christopher Reeve นั่นล่ะ) ก็เป็นผลงานของ Richard Matheson!
ยังไม่นับถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ ตอนของ Twilight zone series อีกด้วย
สำหรับหนังสือ I Am Legend ที่ผมได้มานี่เป็นเวอร์ชันหน้าปก Will Smith ในภาพยนตร์ ข้างใน มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องต่อท้ายมาด้วย บางเรื่องอ่านแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดอีกบางเรื่อง อย่างเช่น Prey (ไม่บอกว่าเหมือนเรื่องอะไร ลองอ่านดู) และเรื่องขนาดสั้นมากชนิด 3 หน้าจบ แต่เล่นเอาลืมไม่ลงอย่าง The Near Departed
สุดท้ายเอาวิดีโอสัมภาษณ์ Richard Matheson เกี่ยวกับผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีเหน็บ I Am Legend เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนท้ายนิด ๆ ด้วย
Links ที่น่าสนใจ
สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับหนังก็คือ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์กภายหลังโรคระบาดบางอย่าง และอุตส่าห์ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเพื่อให้สมจริง ฟังแล้วก็เข้าทำนองเลียนแบบ Tom Hanks ใน Castaway แต่เปลี่ยนจากติดเกาะ เป็นอยู่กลางกรุงแทน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่
ความรู้สึกแรกหลังจากดูจบ ก็คือ I Am Legend ก็แค่หนังแนวเดียวกับหนังโรคระบาดที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, Resident Evil ซึ่งสาวไปได้ถึงต้นตำรับหนังแนวซอมบี้ (zombie genre) นำโดยเจ้าของตำนานอย่าง George A. Romero ต้นกำเนิดของหนังตระกูล "The Dead" ทั้งหลาย (Night of Living Dead, Day of the Dead, Dawn of the Dead, Land of the Dead ฯลฯ) ซึ่งริเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี 1968 โน่น
ผมเข้าใจว่า I Am Legend ก็เป็นแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น
ผมเข้าใจผิดมหันต์
I Am Legend ต่างหากที่เป็นต้นตำรับ ของสิ่งที่ผมพิมพ์ไปข้างบนทั้งหมด
I Am Legend เป็นผลงานนวนิยายขนาดไม่ยาวมาก ของ Richard Matheson (เคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้กันไหมครับ?) ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1974 (เป็นอนาคตในตอนที่เขียน) เล่าเรื่องของ Robert Neville มนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรคระบาด ที่ต้องเผชิญกับ "ผู้ติดเชื้อ" (ผู้เขียนเรียกว่าแวมไพร์ ไม่ใช่ ซอมบี้ หรือ Darkseekers หรือ Hemocytes) ที่กลับมาจากโลกของความตายหลังพระอาทิตย์ตกดิน นำไปสู่การค้นพบต้นเหตุของโรคระบาด และลงเอยด้วยบทสรุปที่ไม่เหมือนในภาพยนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงแล้ว ตัวบทประพันธ์ I Am Legend เองก็เคยทำเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ครั้ง ในชื่อ The Last Man on Earth (1964), The Omega Man (1971) และ I am Legend (2007) ดังนั้นในแง่ของต้นกำเนิดแล้ว I Am Legend ของ Richard Matheson เกิดก่อน และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ของ George A. Romero ซึ่งสร้าง Night of Living Dead ภาคแรกออกมาหลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี จนกลายมาเป็น"แนวซอมบี้"ในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Stephen King ก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจาก I Am Legend ในงานเขียนเรื่อง Cell (แต่ผมคิดว่า เรื่องของแวมไพร์อย่าง Salem's Lot ก็มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่ไม่น้อย) เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ Richard Matheson ก็ได้รับความนิยมในขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นตำนานของวงการเรื่องสยองขวัญคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ยังไม่หมด
จากการค้นเจอข้อมูลของ Richard Matheson ยังนำผมไปสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง เช่น Stir of Echoes (หนังสยองขวัญ - Kevin Bacon นำแสดง), What Dreams May Come (romantic - Robin Williams) และ Somewhere in Time (อ่านไม่ผิดครับ! หนัง romantic อมตะที่นำแสดงโดย Christopher Reeve นั่นล่ะ) ก็เป็นผลงานของ Richard Matheson!
ยังไม่นับถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ ตอนของ Twilight zone series อีกด้วย
สำหรับหนังสือ I Am Legend ที่ผมได้มานี่เป็นเวอร์ชันหน้าปก Will Smith ในภาพยนตร์ ข้างใน มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องต่อท้ายมาด้วย บางเรื่องอ่านแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดอีกบางเรื่อง อย่างเช่น Prey (ไม่บอกว่าเหมือนเรื่องอะไร ลองอ่านดู) และเรื่องขนาดสั้นมากชนิด 3 หน้าจบ แต่เล่นเอาลืมไม่ลงอย่าง The Near Departed
สุดท้ายเอาวิดีโอสัมภาษณ์ Richard Matheson เกี่ยวกับผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีเหน็บ I Am Legend เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนท้ายนิด ๆ ด้วย
Links ที่น่าสนใจ
Saturday, June 13, 2009
HOME - a film by Yann Arthus-Bertrand
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาดูอะไรยาว ๆ เท่าไหร่ แต่การได้ดูสารคดีขนาดยาว 90 นาทีเรื่องนี้ เริ่มต้นมาจาก วิดีโอของ TED talk ที่ผู้สร้างมีโอกาสได้ไปพูด พร้อมกับนำเสนอรูปถ่ายภูมิประเทศที่ดูแปลกตาจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ก็เลยต้องตามไปดูแบบเต็ม ๆ ซึ่งสารคดีชุดนี้แจกให้ชมฟรี แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านทางเวบไซต์ http://www.home-2009.com โดยมีผู้สนับสนุนเป็นสินค้า brand name ชื่อดังหลายรายด้วยกัน
เรื่องราวของสารคดีนี้ เกี่ยวกับ ดาวเคราะห์ชื่อว่าโลก ที่เราอาศัยอยู่มาตลอดนับตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 400,000 ปีก่อน และผลของการพิชิตธรรมชาติของเผ่าพันธุ์นี้ โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบกับโลกทั้งใบ เพราะความต้องการบริโภคทรัพยากรของมนุษย์ที่มีมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าในแง่ของเนื้อหาจะไม่มีความสดใหม่นอกเหนือไปจากประเด็นที่อยู่ในความสนใจ อย่าง ภาวะโลกร้อน การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และน้ำ การเปลี่ยนแปลงกลไกการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และการทำลายสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในทุกมุมของโลก แต่การนำเสนอภาพที่ปรากฏในสารคดีสร้างความแปลกใหม่ในแง่ของมุมมองของภูมิประเทศในมุมสูง ได้อย่างน่าทึ่งและสวยงาม ชวนให้ติดตาม ในมุมมองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ในตอนท้ายเราได้เห็นว่า อย่างน้อยความหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้นได้นั้นก็ยังไม่ได้หมดไปเสียทีเดียว เพราะมนุษย์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และเทคโนโลยีต่าง ๆ และการบริโภคอย่างมีสติ เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล และยั่งยืนต่อไป
สำหรับคนที่ชอบสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth สารคดี HOME นี้ได้นำเสนอประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างออกไปมากนัก และย้ำในจุดยืนของการกอบกู้สมดุลธรรมชาติกลับคืนมาอีกครั้ง ในรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างออกไป รวมทั้งภาพภูมิประเทศแปลกตาที่นำไปสู่มุมมองใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนตัวของผมแล้ว หลังจากดูจบแล้ว รู้สึกผิดอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เห็นแม้กระทั่งภาพที่ธรรมชาติถูกทำลาย ก็ยังถ่ายทำได้ออกมาดูสวยไปซะงั้น
ที่มา:
เรื่องราวของสารคดีนี้ เกี่ยวกับ ดาวเคราะห์ชื่อว่าโลก ที่เราอาศัยอยู่มาตลอดนับตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 400,000 ปีก่อน และผลของการพิชิตธรรมชาติของเผ่าพันธุ์นี้ โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบกับโลกทั้งใบ เพราะความต้องการบริโภคทรัพยากรของมนุษย์ที่มีมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าในแง่ของเนื้อหาจะไม่มีความสดใหม่นอกเหนือไปจากประเด็นที่อยู่ในความสนใจ อย่าง ภาวะโลกร้อน การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และน้ำ การเปลี่ยนแปลงกลไกการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และการทำลายสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในทุกมุมของโลก แต่การนำเสนอภาพที่ปรากฏในสารคดีสร้างความแปลกใหม่ในแง่ของมุมมองของภูมิประเทศในมุมสูง ได้อย่างน่าทึ่งและสวยงาม ชวนให้ติดตาม ในมุมมองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ในตอนท้ายเราได้เห็นว่า อย่างน้อยความหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้นได้นั้นก็ยังไม่ได้หมดไปเสียทีเดียว เพราะมนุษย์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และเทคโนโลยีต่าง ๆ และการบริโภคอย่างมีสติ เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล และยั่งยืนต่อไป
สำหรับคนที่ชอบสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth สารคดี HOME นี้ได้นำเสนอประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างออกไปมากนัก และย้ำในจุดยืนของการกอบกู้สมดุลธรรมชาติกลับคืนมาอีกครั้ง ในรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างออกไป รวมทั้งภาพภูมิประเทศแปลกตาที่นำไปสู่มุมมองใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนตัวของผมแล้ว หลังจากดูจบแล้ว รู้สึกผิดอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เห็นแม้กระทั่งภาพที่ธรรมชาติถูกทำลาย ก็ยังถ่ายทำได้ออกมาดูสวยไปซะงั้น
ที่มา:
Sunday, May 10, 2009
Stand By Me
Stand By Me เป็นเพลงที่ร้องโดย Ben E. King ถูกเขียนขึ้น และนำมาร้องครั้งแรกในปี 1961 ต่อมา John Lennon ได้เอามาร้องใหม่ ในรูปแบบของ The Beatles ที่รู้จักกันดี แล้วก็มีการนำมาร้องในอีกหลายเวอร์ชันด้วยกัน
ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกจากการดูหนังที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งมีโครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ Stephen King เรื่อง The Body ตัวหนังเป็นเรื่องราวความเป็นเพื่อนของเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ออกเดินทางผจญภัยไปด้วยกัน การค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างเดินทาง เป็นองค์ประกอบของการเดินทางเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (มารู้ทีหลังว่าเขาเรียกว่าแนว coming of age) ซึ่งมีคนเคยบอกว่า ผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลาของตัวละครในเรื่องนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง
Stand By Me ก็เป็นเพลงที่นำมาร้องในช่วง end credit ของหนังเรื่องนี้นี่เอง ชอบจนไปหาต้นฉบับมาฟังจนได้ หลังจากนั้นเพลงนี้เป็นเพลงที่ติดอยู่ในหัวมานานหลายปี (รวมที่ดูหนังซ้ำไปอีกหลายรอบ)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดไปเจอเวบหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า Playing for Change ที่เรียบเรียงเสียงนักดนตรีจากประเทศต่าง ๆ ทุกมุมโลก โดยอาศัยเครื่องมืออัดเสียง และคอมพิวเตอร์ มานำเสนอบนอินเตอร์เนต แล้วก็ได้ฟังเพลง Stand By Me อีกครั้ง คราวนี้ประกอบขึ้นจากนักดนตรี 35 คนทั่วโลก ให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว แต่ก็เห็นด้วยกับคำบรรยายในเวบ ว่า แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่เคยพบปะกันโดยตรงก็ตาม แต่เสียงดนตรีก็ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
รับฟังที่:
อ้างอิง:
ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกจากการดูหนังที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งมีโครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ Stephen King เรื่อง The Body ตัวหนังเป็นเรื่องราวความเป็นเพื่อนของเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ออกเดินทางผจญภัยไปด้วยกัน การค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างเดินทาง เป็นองค์ประกอบของการเดินทางเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (มารู้ทีหลังว่าเขาเรียกว่าแนว coming of age) ซึ่งมีคนเคยบอกว่า ผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลาของตัวละครในเรื่องนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง
Stand By Me ก็เป็นเพลงที่นำมาร้องในช่วง end credit ของหนังเรื่องนี้นี่เอง ชอบจนไปหาต้นฉบับมาฟังจนได้ หลังจากนั้นเพลงนี้เป็นเพลงที่ติดอยู่ในหัวมานานหลายปี (รวมที่ดูหนังซ้ำไปอีกหลายรอบ)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดไปเจอเวบหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า Playing for Change ที่เรียบเรียงเสียงนักดนตรีจากประเทศต่าง ๆ ทุกมุมโลก โดยอาศัยเครื่องมืออัดเสียง และคอมพิวเตอร์ มานำเสนอบนอินเตอร์เนต แล้วก็ได้ฟังเพลง Stand By Me อีกครั้ง คราวนี้ประกอบขึ้นจากนักดนตรี 35 คนทั่วโลก ให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว แต่ก็เห็นด้วยกับคำบรรยายในเวบ ว่า แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่เคยพบปะกันโดยตรงก็ตาม แต่เสียงดนตรีก็ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
รับฟังที่:
อ้างอิง:
Subscribe to:
Posts (Atom)