Showing posts with label ereader. Show all posts
Showing posts with label ereader. Show all posts

Sunday, September 26, 2010

ประสบการณ์ Kindle 3rd gen

เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสจับเจ้า Kindle 3rd gen ตัวเป็น ๆ หลังจากที่ได้ยินกิตติศัพท์มาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้วครับ

หลังจากที่ผมได้มีโอกาสจับแบบเต็ม ๆ และถ่ายรูป Kindle 3rd gen ตัวนี้ ได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ปรากฏรีวิวฉบับเต็มที่ blognone เป็นที่เรียบร้อย entry นี้ก็เลยเป็นการจับมามองเป็นบางมุม และเปรียบเทียบกับ BeBook mini 5 ที่ผมตัดสินใจเป็นเจ้าของก่อนหน้านี้ก็แล้วกัน

Kindle 3rd gen ตัวที่ได้ทดลองนี้เป็นรุ่น WiFi + 3G (spec เต็ม ๆ จาก Amazon) ครับ

1. รูปร่าง และน้ำหนัก
หน้าจอขนาด 6 นิ้ว และคีย์บอร์ด full QWERTY ทางด้านล่าง ทำให้ตัวเครื่องมีความยาวมากขึ้น น้ำหนักเทียบได้กับหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คขนาดมาตรฐาน (ตาม spec คือ 240 g) วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องดูแน่นหนาสมกับที่ใช้ graphite เป็นกรอบ

ทางด้านล่างของตัวเครื่อง จากซ้ายไปขวา:
  • ปุ่มปรับเพิ่ม/ลดเสียง
  • ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 mm
  • USB 2.0
  • keyboard lock/unlock switch
ด้านล่างของหน้าจอเป็นคีย์บอร์ด QWERTY


ด้านหลังของเครื่องจะเป็นที่อยู่ของลำโพง


เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ BeBook mini 5 จะเห็นว่ามีขนาดแตกต่างกันอยู่พอสมควร เนื่องจากหน้าจอขนาด 6 นิ้ว (BeBook mini ขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว) และคีย์บอร์ด QWERTY

ในแง่ของน้ำหนัก หลังจากที่ได้ทำความคุ้นเคยกับ BeBook mini 5 (160 g) มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอมาถือ Kindle 3rd gen ตัวนี้ (240 g) ก็รู้สึกได้ถึงความหนักกว่าอย่างชัดเจน แต่ถ้าเทียบแล้วก็พอ ๆ กับพ็อคเก็ตบุ๊คขนาดมาตรฐาน ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการถือไปไหนมาไหน

2. หน้าจอ

เป็นสิ่งที่ต้องยกขึ้นมากล่าวถึงเป็นอันดับต้น ๆ เลย สำหรับ Kindle 3rd gen ด้วยเหตุผลที่ทาง Amazon โฆษณานักหนาว่า หน้าจอ eInk รุ่นใหม่นี้ มันมี contrast ดีกว่าเดิมถึง 50% มันจะขนาดไหนกันเชียว

แล้วเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา ก็พบกับความคมชัดน่าประทับใจสมคำล่ำลือจริง ๆ เสียด้วย จะชัดขนาดไหน เรียกได้ว่า จอของ BeBook ที่ว่าคมชัดดีแล้ว กลายเป็นมัวหมองไปเลยทีเดียว สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ขอเอารูปเปรียบเทียบมาให้ดูเลยก็แล้วกัน




 3. การใช้งาน 

หน้าจอเวลาที่คีย์บอร์ดถูกล็อคอยู่ จะแสดงรูปของนักเขียนคลาสสิก สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในการล็อคหน้าจอแต่ละครั้ง การปลดล็อคคีย์บอร์ดทำได้โดยการเลื่อนปุ่ม keyboard lock/unlock ทางด้านล่างของเครื่อง

การ navigate ตัวเลือก เมนูต่าง ๆ และการพลิกหน้าหนังสือ สามารถทำได้โดยปุ่ม 5-way navigation button และปุ่มที่อยู่ด้านข้างของเครื่อง การตอบสนองบนหน้าจอยังมีหน่วงอยู่บ้างตามประสา e-Ink

การค้นหาข้อความ หรือการเปิดดิกชันนารี ทำได้สะดวกมากจาก QWERTY keyboard แต่ยังติดอยู่ที่การพิมพ์ภาษาไทย ที่ยังไม่รองรับครับ

สำหรับภาษาไทย สามารถอ่านภาษาไทยในไฟล์ PDF ได้ราบรื่นดี แต่สำหรับ format อื่น จะต้องทำการ hack เพื่อลงฟอนต์ภาษาไทยเพื่อให้สามารถอ่านไทยได้

ประสบการณ์ในการอ่านตามปกติแบบที่เนื้อหาเป็นข้อความอย่างเดียวนั้น จะไม่รู้สึกแตกต่างกับ BeBook มากนัก แต่จุดที่แตกต่างออกไปสำหรับ Kindle ตัวนี้ก็คือ การอ่านไฟล์ pdf ในโหมดขยาย (zoom) นั้น จะยังคง page layout ของเดิมเอาไว้อย่างครบถ้วน การ scroll เพื่ออ่านข้อความจึงต้องทำทั้งในแนวราบ (ซ้ายขวา) และแนวตั้ง ซึ่งแตกต่างจาก Adobe PDF ใน BeBook ซึ่งจะทำการ reflow ข้อความให้ ทำให้เสีย page layout ไป การคง page layout เอาไว้นี้ มีข้อดีก็คือ สามารถอ่านแผนภูมิ รูปภาพขนาดใหญ่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่งง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเลื่อนหน้าจอในแนวราบ ดีหรือไม่ดี จึงขึ้นอยู่กับแนวทางการใช้งานของแต่ละคนครับ
PDF page layout แบบเต็มหน้าจอ
PDF zoom 150%


4. Web browser

แม้ว่าจะยังเป็น experimental feature แต่จากการทดลองใช้งานก็พบว่า สามารถแสดงผลเวบต่าง ๆ ได้ราบรื่นดี เข้าใช้ GMail ได้อย่างไม่มีปัญหา (เครื่องที่ทดสอบได้ทำการลงฟอนต์ไทยเรียบร้อยแล้ว) จะอึดอัดอยู่บ้างก็ตรงที่มันไม่ใช่ touch screen เผลอเอานิ้วจิ้มที่หน้าจออยู่หลายครั้งระหว่างเล่นเนต
และสิ่งที่ดูจะคุ้มค่ามากก็คือ การใช้เครือข่าย EDGE/3G แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทำให้ความฝันของใครหลายคนเป็นจริงชนิดที่เมินสารพัด tablet ไปได้เลยทีเดียว
ทดลองเปิดเวบ bbc.co.uk
GMail ผ่านเวบ

นอกจากนี้ QWERTY keyboard ถือเป็นส่วนเติมเต็มของความสามารถ web browsing นี้เลยทีเดียว เพราะทำให้การพิมพ์ URL, login, password สะดวกมาก

5. ความสามารถ/ข้อจำกัดอื่น ๆ

ความสามารถที่น่าสนใจ ที่ยังผมไม่ได้ลองก็คือ Text-to-speech และการเล่นไฟล์เสียง แต่เท่าที่ถามเจ้าของเครื่อง สามารถทำได้เป็นที่น่าพอใจทั้งการเล่นผ่านลำโพง และหูฟัง
ส่วนข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนยังขัดใจก็คือ ชนิดของไฟล์ ที่สนับสนุนนั้นมีไม่มาก และขาดฟอร์แมตที่สำคัญอย่าง epub ไป ทำให้ต้องอาศัยเครื่องมือเข้ามาช่วยแปลงไฟล์อีกทอดหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นปัญหาเชิงเทคนิคสำหรับผู้ใช้จำนวนหนึ่งได้ (ณ จุดนี้ ฟรีแวร์ Calibre ช่วยได้มาก แถมยัง cross platform อีกด้วย)

สรุป

Amazon ได้สร้างมาตรฐานของ eReader ยุคต่อไป ทั้งทางด้านคุณภาพหน้าจอที่ดีขึ้น ความสามารถที่เริ่มขยายออกไปนอกเหนือจากการอ่าน การเพิ่มความสามารถทางด้าน wireless connectivity แบบไม่จำกัด และที่สำคัญที่สุดคือ ราคา ที่ไม่ได้สูงจนเกินเอื้อมอีกต่อไป การขยับของ Amazon คราวนี้คงจะทำให้ผู้ผลิต eReader รายใหญ่เจ้าอื่น ๆ ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ในส่วนของรายเล็ก อาจจะถึงขนาดถอดใจกันเลยก็เป็นได้

หมายเหตุ:
  • ภาพประกอบถ่ายโดย Samsung Galaxy Spica ดูภาพเพิ่มเติมได้จาก web album
  • ขอขอบคุณ มิ้ว เจ้าของเครื่อง ที่เอื้อเฟื้อเครื่อง Kindle ครับ

Sunday, September 12, 2010

ว่าด้วยการซื้อ eBook (2): ความพยายามซื้อ ebook กับด่านที่ต้องฝ่า

เนื่องจากสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย ebook ถูกเหมารวมไปกับหนังสือปกติ ที่ถูกแบ่งตามภูมิภาคต่าง ๆ (Territorial rights) เมื่อกฎนี้ถูกบังคับใช้ บรรดาเวบไซต์ขาย ebook ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องจัดตั้งกำแพง เพื่อป้องกันการขาย ebook ให้กับคนอ่านที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีสิทธิ์ขาย (รายละเอียดใน ว่าด้วยการซื้อ eBook (1))

ถ้าหากคนอ่านที่อยู่นอกพื้นที่ แล้วอยากจะซื้อจะต้องฝ่าด่านอะไรบ้าง ลองมาสำรวจวิธีการที่ผู้ขายใช้ในการตรวจสอบกัน
  1. ที่อยู่ (shipping address / billing address)

    เมื่อมีการลงทะเบียนเข้าใช้งานเวบไซต์ หรือตอนที่กำลังจะจ่ายเงิน ผู้ใช้จะต้องมีการบันทึกที่อยู่ที่ใช้สำหรับส่งของ(ไม่ได้ใช้จริง) เอาไว้ แล้วทางคนขายจะตรวจสอบกับ Territorial rights ของหนังสือเล่มนั้น ๆ ว่าขายให้ได้หรือเปล่า
    การฝ่าด่านขั้นตอนนี้ไม่ยากเท่าไหร่ เพียงแค่ขอยืมที่อยู่ของใครสักคน หรือถ้าไม่รู้จักใครในอเมริกาเลย ก็ search จาก Google Maps มาใส่ก็แล้วกัน
  2. หมายเลขบัตรเครดิต

    เวบไซต์คนขายหลาย ๆ แห่งจะตรวจสอบรหัส 16 หลักของบัตรเครดิตซึ่งจะสามารถบอกได้ว่าบัตรเครดิตใบนี้ถูกออกในอเมริกาหรือไม่ ก่อนอนุญาตให้ซื้อ นอกจากนี้ระบบจัดการลิขสิทธิ์ (DRM) ของคนขายแต่ละแห่งที่ทำให้เราอ่าน ebook ได้เฉพาะบนเครื่อง หรือโปรแกรมที่ลงทะเบียนเท่านั้น ทำให้เพียงการ"ฝากคนอื่นซื้อให้"ไม่สามารถทำได้
    โอกาสที่เราจะได้หมายเลขบัตรเครดิตในอเมริกาคงไม่ง่าย แต่ก็มีวิธีอ้อม ๆ เท่าที่นึกออก


    • บริการออกบัตรเดบิตในอเมริกา แล้วให้เราจ่ายเงินจากบัตรเครดิตของเราเข้าไปฝากไว้ก่อน ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราจะได้ billing address ที่อยู่ในอเมริกามาด้วย ทำให้ตัดปัญหาที่อยู่ในข้อแรกไปได้ (แต่ชั่งใจเรื่องความเสี่ยงกันเอาเอง)
    • ใช้ PayPal สะดวก และเชื่อถือได้ แต่ใช้ได้เฉพาะบางร้านเท่านั้น
    • ฝากซื้อคูปองหรือ gift card ของเวบไซต์นั้น ๆ ที่อาจได้มาจากการฝากซื้อ (บางแห่งก็ตามไปตรวจสอบวิธีการซื้อคูปองอีก เอาเข้าไป) เท่าที่เห็นเวบไซต์ชุมชนนักอ่านบางแห่ง ใช้วิธีโอนเงินทาง PayPal ไปให้คนในพื้นที่ซื้อ แล้วส่งมาให้ (ขึ้นอยู่กับระดับความไว้ใจ) ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราจะได้เครดิตในการซื้อหนังสือจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องมีบัตรเครดิตของอเมริกา
  3. IP address
    ด่านนี้จะว่าผ่านยากที่สุดก็ได้ และในตอนนี้เวบไซต์คนขายแทบทุกแห่งมีการตรวจสอบ IP address ว่าเราอยู่ที่ไหน วิธีการฝ่าด่านจึงเป็นการให้ได้มาซึ่ง IP address ของอเมริกา และส่งมันไปปรากฏบนระบบตรวจสอบของเวบคนขาย การซื้อบริการ VPN ทางเป็นออกทางหนึ่ง แต่มันก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายอีกหนึ่งทอด!
สรุปว่า การฝ่าด่าน Territorial rights นั้น คือการทำให้คนขายเชื่อว่า เรากำลังอยู่ในพื้นที่ที่เขามีสิทธิ์จะขายให้ (ผิดศีลข้อ 4 ตลอดกระบวนการ) แต่ก็ตามมาด้วยความยุ่งยากอีกหลายขั้นตอน และอาจมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทำให้จุดเด่นทางด้านราคาของ ebook หายไป

จากผลกระทบของกำแพงที่สร้างโดยคนขายนี้ ทำให้คนจำนวนหนึ่ง ที่อุตส่าห์ลงทุนซื้อเครื่องอ่านราคาแพง โดยหวังว่าต้นทุนของการซื้อหนังสือจะถูกลงในระยะยาว เสนอวิธีที่ง่าย และเร็วกว่า นั่นก็คือ "ลืมการซื้อไปซะ" แล้วไปหาจากแหล่งอื่นเอา (ผิดศีลข้อ 2) ซึ่งอาจจะทำให้เราได้ ebook ที่ต้องการภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที แต่ด้วยวิธีนี้ทางฝั่งคนเขียนหนังสือ และสำนักพิมพ์จะกลายเป็นคนเสียประโยชน์เต็ม ๆ

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า คนที่สามารถซื้อเครื่อง ereader มาใช้ได้ เต็มใจที่จะซื้อ ebook อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมันเป็นการสนับสนุนให้คนเขียน และสำนักพิมพ์ออกหนังสือดี ๆ ออกมาให้เราได้อ่านอีก แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนข้อแม้ที่ว่าระบบการขาย ebook ควรเข้าถึงง่ายกว่านี้

สรุปง่าย ๆ ก็คือ คนซื้อพร้อมแล้ว แต่คนขายยังไม่พร้อม คงต้องดูการต่อไปว่าคนขายจะปรับตัวกับเรื่องนี้ได้ยังไงบ้าง

Sunday, August 08, 2010

สิ่งที่เปลี่ยนแปลง หลังจากใช้ eReader

หลังจากใช้ BeBook Mini มาประมาณ 1 เดือน ก็พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวเอง
  • แบก laptop ไปไหนมาไหนเพียงเพื่อเปิดอ่านหนังสือ ลดลงกว่าเดิม
  • อ่านหนังสือกระหน่ำขึ้น จบไปแล้ว 12 เล่ม ในเวลาประมาณ 5 สัปดาห์ หลังจากที่อ่านหนังสือไม่จบสักเล่มมา 4 เดือน (+ journal วิชาการอีกจำนวนหนึ่ง)
  • อ่านจากโทรศัพท์มือถือลดลง พฤติกรรมแวบไปเช็คเมล์ และ twitter ลดลง อยู่กับการอ่านได้นานขึ้น
  • เพิ่มอัตราการอ่านเนื้อหาขนาดยาว ๆ จากหน้าเวบ เช่น wikipedia ได้จนจบ โดยการ save ไปอ่านข้างนอก
  • ซื้อหลอดไฟ LED พกได้ แบบใช้ถ่านกระดุม สำหรับอ่านตอนกลางคืนเพิ่ม ประหยัดการเปิดไฟดวงใหญ่เพื่ออ่านหนังสือ
  • [updated] อ่านหนังสือ ตอนมือเปื้อนขนมได้ เพราะต้องการแค่นิ้วเดียว ในการพลิกหนังสือ!

Review BeBook Mini eReader

ผมได้อ่าน eBook และเนื้อหาดิจิตอลต่าง ๆ มาตั้งแต่ใช้ PDA และ smartphone ต่าง ๆ มาเรื่อย ๆ ด้วยความสะดวกในการพกพาติดไปกับตัวได้ตลอด แต่ก็มีข้อจำกัดของอุปกรณ์เหล่านี้ นั่นก็คือ หน้าจอของมันมีขนาด 3.2-3.5 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับการอ่านพ็อกเก็ตบุ๊คโดยทั่วไป

กระแสของ iPad และ tablet PC ทำให้พอจะความหวังที่จะได้อ่านเนื้อหาบนอุปกรณ์พกพาจอใหญ่ ๆ บ้าง แต่ก็ติดด้วยราคาและน้ำหนัก ทำให้ลองหันมามอง eReader ซึ่งราคาเริ่มลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ จนกระทั่งได้ตัดสินใจสั่ง BeBook Mini มาในที่สุด หลังจากใช้เวลากับมันมาประมาณ 1 เดือนแล้วก็ขอนำมาเล่าประสบการณ์ให้อ่านกันครับ

BeBook เป็น eReader ตระกูลหนึ่ง ที่ผลิตโดยบริษัท Jinke ในประเทศจีน และไปปรากฏตัวในต่างประเทศ ในชื่อต่าง ๆ กัน เช่น BeBook, LBook, Hanlin, EZReader สามารถสั่งผ่านทางเวบไซต์ http://www.mybebook.com/ ชำระเงินผ่านทาง PayPal ราคา ($199) รวมค่าส่ง ($25) และภาษีขาเข้าอีก 1 พันกว่าบาท แล้วก็ตกประมาณ 7 พันกว่าบาท ใช้เวลาเดินทางจากต้นทางประเทศเนเธอร์แลนด์ 3 วัน ทาง FedEx


ข้อความแรกที่อยู่ในเอกสารหลังจากที่แกะกล่องออกมาคือ คำเตือนว่า หน้าจอ e-Ink นี้มันไม่ใช่ touchscreen.. อย่าได้พยายามกดมัน

อุปกรณ์ที่มากับตัวเครื่องประกอบไปด้วย
  • BeBook Mini ใส่แบตเตอรี่มาเรียบร้อย ความรู้สึกแรกที่ได้จับ.. มันเบาดี ขนาดจะเล็กกว่าพ็อคเก็ตบุคมาตรฐานอยู่เล็กน้อยครับ
  • สายคล้องข้อมือ 1 เส้น
  • หูฟัง 3.5 mm
  • สาย mini USB ไม่มี adaptor แถมมาด้วย
  • ไขควงและน็อต (สำหรับแกะเปลี่ยนแบตเตอรี่)

ทัวร์รอบตัวเครื่อง

ด้านล่างของจอ: มีแป้นตัวเลข ซึ่งจะใช้เป็น input หลักของเครื่อง, ปุ่ม back และ menu/ok
ด้านบน: ช่องใส่ SD card, mini USB และปุ่ม power
ด้านล่าง: ช่องเสียบสายหูฟัง 3.5 mm
ด้านขวา: thumbwheel สำหรับใช้ navigation
ด้านหลัง: ปุ่ม reset และช่องใส่แบตเตอรี่

เปิดเครื่อง

เมื่อเปิดเครื่องก็จะพบกับตัวหนังสือสีดำบนหน้าจอสีขาว ไม่มี backlight ความชัดเจน จะขึ้นอยู่กับแสงสว่างของสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือกระดาษ หน้าจอ ความละเอียด 800x600 พิกเซล greyscale 8 ระดับ ขนาดหน้าจอของ BeBook Mini คือ 5 นิ้ว (ตามเส้นทแยงมุม) ถ้าเทียบแล้ว ก็จะเล็กกว่าหน้ากระดาษหนังสือ paperback อยู่เล็กน้อย

ในส่วนติดต่อกับผู้ใช้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ file browser ที่แสดงรายละเอียดของไฟล์ และโฟลเดอร์ต่าง ๆ ที่อยู่ในหน่วยความจำ และส่วนที่ 2 คือ หน้าแสดงเนื้อหาของหนังสือ เนื่องจากหน้าจอไม่ใช่ touch screen การ input จึงต้องผ่านทางปุ่มต่าง ๆ ที่อยู่บนเครื่อง ในการ navigate ไปตามที่ต่าง ๆ ซึ่งไม่ซับซ้อนอะไร

ประสบการณ์ "อ่าน"

ตัวหนังสือสามารถแสดงผลได้คมชัดดี สามารถใช้เวลาอ่านติดต่อกันนาน ๆ ได้อย่างสบายตา ขนาดตัวหนังสือ สามารถปรับระดับซูมได้หลายระดับ ให้เหมาะกับความต้องการ ได้โดยเครื่องจะทำการจัดเรียงข้อความ (reflow) ให้ใหม่โดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องปวดหัวกับการ scroll ในแนวซ้ายขวา



การแสดงผลรูปภาพ บนหน้าจอ e-Ink นี้ ไม่เหมาะสำหรับภาพความละเอียดสูง ๆ หรือภาพที่เป็นสี เพราะรายละเอียดจะหายไปเยอะมาก จากข้อจำกัดของหน้าจอเอง แต่ก็ทดแทนด้วยข้อดี ของการประหยัดพลังงาน โดยเราสามารถเปิดหน้าหนังสือทิ้งไว้ได้เป็นสัปดาห์ โดยตัวเครื่องแทบจะไม่กินพลังงานเลย ลดความกังวลในการชาร์จบ่อย ๆ และการพกอุปกรณ์ชาร์จติดตัวไปได้มาก

การกดเปลี่ยนหน้า สามารถทำได้จากหลาย ๆ ปุ่ม ที่อยู่รอบเครื่อง (thumbwheel ทางด้านขวา, Next/Previous page ทางด้านซ้าย และปุ่มเลข 9, 10 ทางด้านล่าง) ทำให้สามารถถือได้หลายท่า มือขวา หรือซ้าย ในช่วงแรก ๆ จะรู้สึกหน่วง ๆ ในเรื่องของความเร็วในการเปลี่ยนหน้าอยู่บ้าง เพราะอาจใช้เวลาประมาณ 0.5-1 วินาที โดยประมาณ ในการกดเปลี่ยนหน้าแต่ละครั้ง ไม่ได้ไหลลื่นเหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยกับการใช้อ่านบน smartphone หรือ หน้าจอ PC ถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็คงใช้เวลาพอ ๆ กับการขยับมือ พลิกหน้าหนังสือก็พอได้อยู่

เหตุผลที่ผมตัดสินใจเลือก BeBook เพราะเห็นตามคุณสมบัติที่แจ้งไว้ว่า รองรับไฟล์ format ต่าง ๆ ได้หลากหลาย (pdf, doc, html, bmp, jpg, png, gif, tif, djvu, fb2, wol, txt, epub, ppt, lit, chm, rar, zip, mp3, mobi, prc, htm) ซึ่งมากกว่าที่ eReader ตระกูลอื่น ๆ สนับสนุน หลาย ๆ format โดยเฉพาะ format ที่เกิดมาในยุคของ ebook สามารถทำงานบน BeBook ได้อย่างน่าประทับใจ เช่น epub, fb2, txt และ prc อาจจะเป็นเพราะเครื่องถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการอ่านเนื้อหาที่ไหลไปเรื่อย ๆ (เช่น นิตยสาร, นวนิยาย) ที่ไม่มี text formatting หรือ page layout ที่ซับซ้อนมากนัก

แต่สิ่งที่ผมค่อนข้างผิดหวังก็คือการทำงานในหลาย format ที่ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ไม่สามารถแสดงไฟล์ html ที่มี layout ที่ซับซ้อน และส่งผลไปยัง format ที่ใช้ html เป็นพื้นฐานอย่าง chm จนไม่สามารถเปิดอ่านเนื้อหาที่ต้องการได้ในบางไฟล์ เพราะ layout เพี้ยนจนอ่านไม่ได้ ต้องอาศัยการ convert ให้กลายเป็น pdf บน PC ก่อน

ตัวอย่าง pdf จากนิตยสาร The Economist เปิดแบบ original layout

ในส่วนของ pdf สามารถอ่าน pdf ส่วนใหญ่ได้อย่างไม่มีปัญหา โดยเฉพาะไฟล์ที่ให้ความสำคัญกับการ reflow เนื้อหา อย่างเช่น นิตยสารต่างประเทศ

การ zoom ทำให้กลายเป็น reflow mode
ปัญหาที่พบในการใช้งานกับ pdf ก็คือ ใน original layout ตัวหนังสือจะเล็กเกินไป เพราะจอแค่ 5 นิ้ว (ความคิดแรกหลังจากเห็น layout เต็ม ๆ ของ original layout ก็คือ ถ้าได้เปิดบนจอ 9 นิ้วก็คงจะเยี่ยมไปเลย) นอกจากนี้การขยาย (zoom) เป็นการขยายตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น และข้อความถูก reflow ใหม่ทำให้ไม่สามารถดูเอกสารแบบ layout เต็ม ๆ แบบขยายได้ ซึ่งทำให้อรรถรสการดูข้อมูลที่เป็นตาราง และแผนภูมิต่าง ๆ หายไป
 

ภาษาไทย
การสนับสนุนภาษาไทย คงจะเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจซื้อ eReader มาใช้งานของหลาย ๆ คน จากการใช้งานพบว่า ใน firmware มีการ install font ภาษาไทยมาให้เรียบร้อย แต่การจัดเรียงข้อความจาก text file ธรรมดา ยังเจอปัญหาสระลอยอยู่
สระลอยใน text file ภาษาไทย (UTF8)

แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะการจัดเรียงข้อความสำหรับไฟล์ pdf สนับสนุนภาษาไทยได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น การเอาเนื้อหาภาษาไทยมาเปิด ก็เพียงแต่นำข้อความที่ต้องการ มาแปะลงในโปรแกรม word processor ต่าง ๆ แล้ว บันทึกเป็น pdf หรือการใช้เครื่องมืออย่าง cups-pdf หรือ cutepdf มาช่วยก็สามารถทำได้แล้ว

ภาษาไทยใน pdf ที่บันทึกผ่าน OpenOffice Writer

ความสามารถทางสื่ออื่น ๆ

นอกจากจะสามารถใช้อ่าน ebook แล้ว BeBook Mini ยังมีความสามารถในการเล่นไฟล์เสียง mp3 ได้อีกด้วย แต่ไม่มี built-in speaker ในเครื่อง จะต้องต่อแจ็ค 3.5 mm เข้ากับตัวเครื่องเท่านั้น สำหรับคุณภาพเสียงของเครื่องที่ทำการทดสอบนี้ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ portable player อื่น ๆ แม้ว่าจะใช้ไฟล์ที่มี bitrate ขนาดสูงแล้วก็ตาม หลังจากทดลองฟังไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องถอยก่อนดีกว่า

สรุปประสบการณ์การใช้งาน BeBook Mini และความเห็นเกี่ยวกับ eReader ของผม

ในปัจจุบันตลาด eBook และ eReader กำลังอยู่ในภาวะสงคราม ของการลดราคาตัวเครื่อง eReader เอง และการสร้างเครือข่ายเนื้อหาต่าง ๆ ด้วย ราคาที่เริ่มน่าสนใจมากขึ้น ความสามารถที่เพิ่มขึ้น ความสะดวกในการพกพา และกินพลังงานต่ำ ทำให้ eReader จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับหนอนหนังสือทั้งหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ

BeBook Mini เป็น eReader รุ่นประหยัด น้ำหนักเบา พอที่จะสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ ด้วยความสามารถของ e-Ink ที่ไม่กินพลังงาน และให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนการอ่านหนังสือบนหน้ากระดาษ ทำให้ผมรู้สึกคุ้มค่า ที่จะพกมันไปด้วยในโอกาสต่าง ๆ เพื่อ "อ่าน"

เนื่องจากมันไม่ได้มีความสามารถทางด้าน multimedia, wireless หรือ internet connection เลย ทำให้คุณจะตัดสินใจซื้อมันมาเพื่อ "อ่าน" เท่านั้น

แม้ว่าจะมีจุดเด่นที่สามารถอ่านไฟล์ได้หลากหลาย format แต่ความเหมาะสมที่จะเอามาอ่านบนหน้าจอ 5 นิ้วนี้ คงจะเป็นเนื้อหาที่มีการจัดเรียงหน้าที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และมีเนื้อหาเป็นแบบไหลไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เหมาะกับการอ่านแผนภูมิ ตาราง รูปภาพ ที่มีความซับซ้อน และการอ่านไฟล์ในหลาย ๆ format ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก ท่านที่กำลังพิจารณาตัดสินใจซื้ออาจจะต้องเตรียมใจเอาไว้บ้าง หรืออาจจะต้องทำการบ้านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแปลงไฟล์ไปเป็น format ที่ไว้ใจได้อย่าง pdf, epub, txt, mobi, pdb

Spec ของ BeBook mini เป็นดังนี้
  • น้ำหนัก: 160 g
  • หน้าจอ: e-Ink 5 นิ้ว (ตามเส้นทแยงมุม) ความละเอียด 800x600 pixels ขาวดำ
  • Internal storage: 512 MB (ใส่ SD card เพิ่มได้ถึง 4GB)
  • ลำโพง: ไม่มี
  • เชื่อมต่อผ่านทาง USB 2.0
  • Bluetooth: ไม่มี
  • WiFi: ไม่มี
  • Web browser: ไม่มี 
Links