Showing posts with label star wars. Show all posts
Showing posts with label star wars. Show all posts

Monday, February 11, 2013

ภายใต้หน้ากาก


The Dark Lord Trilogy: The Rise of Darth Vader โดย James Luceno


..
ดาร์ธ ซิเดียส ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เวเดอร์สูญเสียทุกอย่าง แม้แต่ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความไร้เทียมทานที่เขาเคยมีแบบตอนที่เป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์

เวเดอร์หันหลังกลับ และเคลื่อนตัวไปยังประตู
แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การเดิน

ด้วยความเคยชินในการสร้าง และซ่อมแซมหุ่นยนต์ เพิ่มความแรงเครื่องยนต์แลนด์สปีดเดอร์ และยานรบตั้งแต่ยังเด็ก จนถึงการปรับปรุงกลไกควบคุมแขนกลข้างแรกของเขา เขาเริ่มไม่แน่ใจในความไม่ได้เรื่องหุ่นยนต์แพทย์ที่รับผิดชอบต่อการฟื้นคืนชีพของเขาในห้องทดลองของซิเดียสบนคอรัสซัง

ขาโลหะผสมของเขาดูเก้งก้างด้วยแถบเกราะโลหะชนิดเดียวกับที่หล่อถุงมือที่หุ้มแขนเทียมข้างขวาของเขา สิ่งที่เหลืออยู่จริง ๆ ตรงปลายแขนเป็นแค่กระจุกของเนื้อที่ถูกเอามาปลูกถ่าย แล้วเชื่อมต่อกลไกที่ถูกกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวเข้ากับเส้นประสาทที่เหลืออยู่ แต่แทนที่หุ่นพยาบาลจะใช้โลหะชนิดทนทาน มันกลับเลือกใช้โลหะผสมที่คุณภาพต่ำกว่า และไม่ได้เก็บรายละเอียดรอยตะเข็บแผงวงจรให้เรียบร้อย ผลก็คือ พื้นผิวด้านในของชุดปรับความดัน เต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำ ที่คอยเสียดสีหัวเข่า และข้อเท้าของเขาตลอดเวลา

บูททรงสูงไม่พอดีกับขาเทียม ที่กรงเล็บนิ้วเท้าก็ขาดสัมผัสไฟฟ้าสถิตย์แบบที่มีในนิ้วมือเทียม ส้นของรองเท้าถูกยกขึ้นสูง ทำให้ตัวเอนไปข้างหน้า บังคับให้เขาต้องเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังอย่างมาก เพื่อไม่ให้สะดุดล้ม แย่ยิ่งกว่านั้น มันหนักมากเสียจนเขารู้สึกถูกดูดติดอยู่กับพื้น เหมือนอยู่บนดาวที่มีแรงโน้มถ่วงสูงอยู่ตลอดเวลา

มันจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ดีไปได้อย่างไร ถ้าเขาต้องใช้ พลัง ตลอดเวลา กับแค่การเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง! เขาคิดถึงการยอมนั่งบนเก้าอี้ต้านแรงโน้มถ่วง และเลิกหวังการกับเคลื่อนที่จริง ๆ จัง ๆ ด้วยซ้ำ

แขนเทียม ก็ห่วยพอ ๆ กับขา

มีแต่แขนเทียมข้างขวาเท่านั้น ที่พอจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะเป็นแค่แขนเทียมก็เถอะ บางทีระบบแรงดันอากาศที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของข้อ มันก็ตอบสนองได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น เสื้อคลุม แผงเกราะหน้าอกที่แสนจะหนัก จำกัดการเคลื่อนไหว จะกระทั่งเขาแทบไม่สามารถยกแขนขึ้นเหนือหัวได้ และทำให้เขาจำเป็นต้องปรับเทคนิคการใช้ดาบแสงไปโดยปริยาย

บางทีเขาน่าจะปรับตัวขับเคลื่อนและแกนหมุนของแขนให้มีความแข็งแรงขนาดที่จะขยี้ด้ามดาบแสงของเขาได้ไปเลย ด้วยความแข็งแรงของแขนเขาอย่างเดียว เขาสามารถยกคนตัวโต ๆ ให้พ้นพื้นได้ แต่ พลัง ก็ให้ความสามารถอันนั้นกับเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะในหัวงเวลาของความโกรธ แบบที่เขาเคยทำบนทาทูอิน และที่อื่น ๆ แถมแขนของชุดเกราะยังไม่พอดีกับแขนเทียมอย่างที่ควรจะเป็น ถุงมือที่ยาวถึงข้อศอกตีบคอด และรัดข้อมือ

ในขณะที่ มอง ไปที่ถุงมือทั้ง 2 ข้าง เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การเห็น

หน้ากากปรับความดัน ประกอบไปด้วย แว่นตาที่ปูดโปน ปากเหมือนปลา ยื่นออกมาสั้น ๆ และหักมุมโดยไม่จำเป็นตรงกระดูกโหนกแก้ม พอประกอบเข้ากับโดมของหมวก ให้ความรู้สึกเหมือนกับเงาร่างหุ่นยนต์สงครามของซิธในสมัยโบราณที่กลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง เลนส์รูปครึ่งวงกลมสีดำที่ครอบอยู่รอบดวงตาของเขา กรองแสงที่อาจเป็นอันตรายต่อกระจกตา และจอประสาทตาของเขาออกไป แต่ก็ทำให้ทุกอย่างมีสีแดงไปหมด และทำให้เขาไม่สามารถเห็นปลายรองเท้าของตัวเองได้ เว้นแต่จะต้องก้มหัวลงสุด ๆ

เขาฟังเสียงของมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแขนขาของตัวเอง แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การได้ยิน

หุ่นยนต์แพทย์ได้สร้างกระดูกอ่อนของใบหูของเขาขึ้นใหม่ แต่เยื่อแก้วหูถูกหลอมเหลวด้วยความร้อนของดาวมุสตาฟาจนไม่สามารถซ่อมแซมอะไรได้ไปแล้ว ตอนนี้คลื่นเสียงที่เข้ามาจะผ่านไปยังประสาทหูชั้นในเทียม เสียงที่เข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนมาจากใต้น้ำ ที่แย่กว่านั้นคือ ตัวรับเสียง ขาดความสามารถในการแยกแยะเสียงต่าง ๆ รับเอาเสียงรบกวนต่าง ๆ เข้ามาด้วย ยากต่อการเดาระยะทาง และทิศทาง บางครั้งตัวรับเสียงก็หอน หรือก้อง ๆ หรือไม่ก็สันพร่า แม้กระทั่งกับเสียงเบา ๆ ก็ตาม

แม้ปอดของเขา จะมีอากาศเขามาเติมตลอดเวลา แต่เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การหายใจ

ตรงนี้แหละ ที่หุ่นยนต์แพทย์ล้มเหลวของจริง

หน้าอกของเขาถูกกล่องควบคุมรัดเอาไว้ สายเคเบิลหนา ๆ ทิ่มแทงเข้าไปในทรวงอก เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ช่วยหายใจ และเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจ เครื่องช่วยหายใจถูกติดตั้งอยู่ในหน้าอกที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน่าเกลียด ต่อเข้าโดยตรงกับท่อที่เชื่อมเข้ากับเนื้อปอด และหลอดลมที่หลงเหลือ แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด เพราะมันทำให้เขาสามารถหายใจด้วยตัวเองเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ

หน้าจอควบคุมส่งเสียงเตือนบ่อย ๆ แบบไม่มีเหตุผล และไฟกระพริบต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ ก็เป็นแค่เครื่องเตือนถึงความเปราะบางของเขา

เสียงหายใจแหบ ๆ ที่ดังต่อเนื่อง รบกวนการพักผ่อน ไม่ต้องพูดถึงการหลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสนจะหาได้ยากสำหรับเขา เพราะมันคือการสลับฉากกันของฝันร้ายที่บิดเบี้ยว ที่ผลัดกันออกมาหลอกหลอนด้วยเสียงของความเจ็บปวดทั้งหลายที่อยู่ในความทรงจำ

อย่างน้อยหุ่นยนต์แพทย์ก็ติดตั้งท่อช่วยหายใจในที่ที่อยู่ต่ำลงไป ทำให้เขาสามารถส่งเสียงผ่านกล่องเสียง ได้โดยมีเครื่องสังเคราะห์เปลี่ยนเสียงที่เหมือนเสียงกระซิบ ให้กลายเป็นเสียงแหบต่ำ

เขาสามารถกินอาหารทางปากได้เหมือนกัน แต่ก็เฉพาะเวลาที่เขาอยู่ในห้องปรับความดัน เพราะเขาไม่สามารถเอาเครื่องช่วยหายใจที่ติดอยู่กับหน้ากากออกได้ มันจึงง่ายกว่าที่เขาจะได้รับสารอาหารทางหลอดเลือด และต้องคอยพึ่งพาสายสวน ถุงกักเก็บ และระบบหมุนเวียน ในการจัดการกับของเสียต่าง ๆ

แต่อุปกรณ์เหล่านั้นทั้งหมดก็ทำให้เขาเคลื่อนตัวได้อย่างยากเย็น พูดถึงความสง่างาม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แผงเกราะหน้าอกที่ทำหน้าที่ปกป้องปอดเทียมมันช่างหนักอึ้ง เช่นเดียวกับปลอกดามคอที่จำเป็นต่อระบบที่ทำหน้าที่แทนกระดูกต้นคอทั้งหมด ที่เชื่อมต่อกับหมวกเทอะทะ ระบบหน้ากากช่วยหายใจอันละเอียดอ่อน แผลเป็นเละ ๆ บนหัวที่ไม่มีผม ที่เกิดจากปฏิบัติการช่วยชีวิตในช่วงการเดินทางกลับจากมุสตาฟามายังคอรัสซังต์ บนยานของซิเดียส

ผิวหนังที่ถูกเผาจนติดกระดูก ถูกแทนด้วยผิวหนังสังเคราะห์ที่คันตลอดเวลา และจะต้องถูกขัดถูทั่วร่างกายเพื่อเอาเนื้อตายออกเป็นประจำ

เขาได้ผ่านช่วงเวลาของการกลัวที่แคบ ช่วงเวลาของความสิ้นความหวังของการกำจัดชุดเกราะนี้ทิ้งไป เขาอยากสร้าง.. สร้างห้องที่เขาสามารถรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์อีกครั้ง..

ถ้ามันเป็นไปได้

ทั้งหมดทั้งมวล เขาคิด: นี่มันไม่ใช่ การมีชีวิต

นี่มันคือการจองจำในคุกที่เลวร้ายที่สุด เพื่อรับทัณฑ์ทรมานไปตลอดชีวิต เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเศษซากของชีวิต เป็นอำนาจที่ไร้เป้าหมาย...

เสียงถอนหายใจอย่างหดหู่ ออกมาจากหน้ากากช่วยหายใจ

เขาเตือนตัวเองให้ตั้งสติ แล้วก้าวผ่านช่องประตูออกไป..

Monday, January 31, 2011

เมื่อ Star Wars mashup กับซอมบี้: Star Wars: Death Troopers


กระแสซอมบี้เริ่มเป็นที่รู้จัก นับตั้งแต่ Night of Living Dead ของ George A. Romero  เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นต้นมา แล้วก็มีการพัฒนาเป็นรูปแบบต่าง ๆ ในรูปแบบภาพยนตร์ กับหนังสือมาเรื่อย ๆ

นับตั้งแต่ Pride and Prejudice and Zombies ที่เอางานคลาสสิกของ Jane Austen มาผสมกับ zombies genre ก็ดูเหมือนว่า เรื่องของซอมบี้ (และแวมไพร์) จะสามารถเข้าไปแทรกอยู่ในเรื่องราวต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก

ในที่สุด zombies genre ก็ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Star Wars เรียบร้อยแล้ว ด้วยการเปิดตัวของ Star Wars: Death Troopers หนังสือเล่มแรกในชุดนี้

ในห้วงอวกาศที่ใดไม่ระบุ ในช่วงเวลาของจักรวรรดิ ครอบครองโดยจักรพรรดิ Palpatime และ Darth Vader...

ยานขนนักโทษลำหนึ่ง ได้บังเอิญไปพบกับ Star Destroyer ที่ควรจะจุคนได้หลายพัน ลอยแน่นิ่ง พร้อมกับสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ส่งออกมาเป็นระยะ แต่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

ทีมสำรวจถูกส่งขึ้นไปค้นหาอะไหล่ที่จะนำมาใช้ซ่อมยาน และได้พบกับสิ่งที่ยังคงเหลือรอด ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกเรือ Star Destroyer และเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ที่มี stormtrooper, blaster rifle, X-Wing, TIE fighter เป็นสิ่งประกอบฉาก และมีตัวเอกเป็นซอมบี้ แบบ 28 Days Later (ดุ วิ่งเร็ว ฉลาด น้ำลายยืด) วิ่งไล่ล่าเลือดสาดกระจายตลอดทั้งเล่ม

สำหรับแฟน Star War นั้น ตอน Death Troopers ยังไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักส่วนอื่นมากนัก เพราะเหตุการณ์ถูกจำกัดอยู่บนยานเพียงแค่ 2 ลำ และอาศัยฉาก เรื่องราว และเงื่อนเวลาของ Star Wars เป็นของประกอบเท่านั้น แต่ตัวอย่างบทแรกของ Star Wars: Red Harvest หนังสือเล่มต่อไปในชุดนี้ ทำให้รู้ว่าฝันร้ายกับซอมบี้ในจักรวาล Star Wars เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น.. คราวนี้ งานเข้า ทั้ง Sith และ Jedi เลยทีเดียว

มี trailer ด้วย ดูแล้ว ทำเป็นหนังท่าจะดี

Wednesday, March 18, 2009

Star wars: Jedi Twilight -- ยุคมืดของเจไดในเงื้อมมือของจักรวรรดิ

สถานการณ์ของกาแล็คซีหลังการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ Chancellor Palpatine โดยมี Anakin Skywalker ที่แปรสภาพไปเป็น Darth Vader เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การกวาดล้างอัศวินเจได ภายใต้คำสั่งหมายเลข 66 (Order 66) ก็ยังคงดำเนินต่อไป บรรดาอัศวินเจได ที่ยังหลงเหลืออยู่ต่างก็หนีหัวซุกหัวซุนให้พ้นจากเงื้อมมือของ Darth Vader ไปคนละทิศละทาง

Jedi Twilight เป็นเล่มแรกในซีรีย์ Coruscant Nights เล่าถึงการเสี่ยงชีวิตปฏิบัติภารกิจของ "Jax Pavan" เจไดหนุ่ม เพื่อนร่วมรุ่น Padawan มากับ Anakin Skywalker ลูกศิษย์ของ Even Piell บนดาว Coruscant ที่เป็นศูนย์กลางของกาแล็คซี และเป็นอดีตที่ตั้งของ Jedi Council ที่ดูเหมือนว่า อัศวินเจไดทั้งหลายจะถูกกวาดล้างจนสิ้นซากไปแล้ว ภายใต้เงามืดของตึกสูงระฟ้าบนดาวมหานครที่แม้แต่เงื้อมมือของจักรวรรดิก็ยังไม่สามารถเอื้อมไปถึง ด้วยการยึดอาชีพของนักล่าค่าหัว ให้ก้บกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ บังหน้า ไปพร้อม ๆ กับการเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของ Darth Vader ที่ดูเหมือนจะตั้งใจ "จับเป็น" เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่ยังไม่ปรากฏชัด ในรูปแบบของแมวไล่จับหนู

นอกจากเป็นการแนะนำตัวเอกใหม่สำหรับซีรีย์แล้ว เนื้อเรื่องก็ยังกล่าวเกี่ยวพันไปถึงความเป็นมาของ Prince Xizor ดาวเด่นในแวดวงอาชญากร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจในซีรีย์ Shadows of the Empire และการแนะนำ class ใหม่ของเจได อย่าง Jedi Paladin ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธสารพัดรูปแบบ รวมไปถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นอกเหนือไปจากการใช้ light saber ตามแบบฉบับของ Jedi Knight ทั่วไป

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Michael Raeves ที่เคยสร้างชื่อจากการเป็น coauthor ของ Star wars: Death Star มาแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับประสบการณ์ของหนังสือเล่มนี้ คนที่ชอบฉากแสงสีตื่นตายามราตรีในเมืองที่ไม่เคยหลับแบบที่ปรากฏใน Blade Runner คงจะพอช่วยคลายเหงาไปได้บ้าง แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับคนที่คาดหวังที่จะได้อ่าน ฉากนักสืบสวมเสื้อโค้ทตัวโคร่ง ยืนอยู่ใต้แสงไฟสลัว อย่างคำโปรยโฆษณาที่ปรากฏบนปกหลังของหนังสือ ที่ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาข้างในสักเท่าไหร่