Showing posts with label technology. Show all posts
Showing posts with label technology. Show all posts

Thursday, December 29, 2011

คลี่คลายปริศนา ก้อน ๆ ที่สาย USB

  • ก้อน ๆ ที่สาย USB และสายสัญญาณของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ มีชื่อเล่นว่า choke
  • ส่วนประกอบภายในของ choke คือ สารประกอบเหล็กรูปแบบนึง (ferrite/iron oxide/สนิม)
  • เหตุผลของการมีอยู่ของ choke คือ เพื่อสลาย คลื่นรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (ElectroMagnetic Interference: EMI / noises) ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไปรบกวนอุปกรณ์ชิ้นอื่น ๆ (หน้าจอกระพริบ, ลำโพงมีเสียงรบกวน) -- เหมือนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
  • หลักการคือ เปลี่ยน EMI ให้เป็นความร้อน
  • เหตุผลที่มันต้องอยู่ตรงนั้น เพื่อตัดสัญญาณรบกวน แต่ไม่รบกวนสัญญาณเชื่อมต่อ
via: gizmodo , ภาพจาก phidgets inc

Sunday, December 25, 2011

คิดให้ดีก่อนซื้อ มือถือใหม่

คิดให้ดีก่อนซื้อ มือถือใหม่
  • 14% ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เท่านั้น ที่ถูก recycle
  • ขยะ recycle ที่ว่า ถูกส่งไปประเทศโลกที่ 3 (กานา เป็นอันดับ 1) โดยแปะป้ายว่า "ของบริจาค" (!!)
  • วิธีการ recycle ที่ว่า คือ หลอมเอาโลหะมีค่า (ตะกั่ว โครเมียม) ดูเหมือนรายได้ดี
  • ลงเอยด้วย มลภาวะ และโรค จากโลหะหนัก
 via: Scientific American

Thursday, July 31, 2008

Specifications v.s. User experience

เมื่อเราเลือกที่จะซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์สักชิ้น สิ่งที่เราจะมองหาสิ่งแรกก็คือ ส่วนประกอบของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ๆ เช่น ถ้าหากเราจะซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่อง สิ่งที่จะต้องดูก็เป็น CPU, RAM, Harddisk, graphic card หรือถ้าเป็น PDA สักเครื่องก็คงไม่ต่างกัน ถ้ามองดูเผิน ๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถชั่งตวงวัด เปรียบเทียบกับรุ่นอื่นให้มองเห็นภาพได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อจะต้องเปรียบเทียบกับเงินที่เราต้องจ่ายไป

พักหลัง ๆ มานี้ผมเริ่มสงสัยว่า specification นี้เป็นเครื่องรับประกันถึงการใช้งานที่ดีกว่าเสมอไปหรือไม่ Macintosh และ iPod ของ Apple น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะถ้าหากเรานำ spec คอมพิวเตอร์ Macintosh มาเปรียบเทียบกับเครื่อง PC ทั่วไปแล้วเราก็จะพบว่า Macintosh นั้นมีราคาที่แพงกว่า ใน spec ที่เท่ากัน ทำให้ผู้ใช้จำนวนหนึ่งไม่สามารถผ่านกับดักราคาตรงนี้ไปได้ แต่ในขณะเดียวกัน Macintosh ก็ให้ user experience บางอย่างที่ในหลาย ๆ ครั้งสำคัญกว่า spec ด้วยซ้ำไป

แม้ว่าเราจะพบเห็นคำถามของผู้ใช้ใหม่ในเรื่องของการเลือกซื้ออุปกรณ์เหล่านี้อยู่เรื่อย ๆ และมักจะได้รับคำถามกลับจากผู้เชี่ยวชาญ ถึงลักษณะการใช้งาน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จะถูก specification (ซึ่งจะได้รับการบอกเล่าผ่านมาทางคนขาย) ดึงดูดไปในที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งได้มีโอกาสใช้งานจนได้เห็น ข้อดี ข้อเสียของทุกระบบแล้ว ผู้ใช้ส่วนหนึ่งก็จะพบว่าข้อเสียที่ตัวเองพบอยู่ทั้ง virus, trojan ความสวยงาม การตอบโจทย์ของลักษณะการใช้งาน และความติดขัดในการใช้งานนั้นสามารถกำจัดไปได้ โดยการเปลี่ยนมาใช้ Mac!

ในทำนองเดียวกันที่เกิดขึ้นกับการเลือกใช้ smart phone หรือ pda phone ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เป็น feature หรือ specification ก็เป็นสิ่งที่เรามองเห็นได้ชัดเจนกว่าความสะดวกในการใช้งาน ที่อาจจะต้องใช้ประสบการณ์ และเวลาในการทดลองใช้หลาย ๆ ระบบจึงจะสามารถเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของระบบปฏิบัติการ แต่ละตระกูลได้ เช่น 1st gen iPhone ที่ไม่สนับสนุนการใช้งาน MMS หรือ 3G ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้งานสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม ในขณะเดียวกัน Windows Mobile ที่เต็มไปด้วย feature มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ multitasking การใช้งาน multimedia และ connectivity สารพัดรูปแบบ แต่ก็ทำให้ผู้ใช้ส่วนหนึ่งต้องถอยกลับ เพราะปัญหาความยุ่งยากในการใช้งาน ความเสถียรของระบบปฏิบัติการ และหันกลับไปหาสิ่งที่ซับซ้อนน้อยกว่า แม้ว่าจะไม่ได้มี feature มากเหมือนกับ Windows Mobile ก็ตาม

พอลองมาดูในภาพที่ใหญ่ขึ้น เราจะพบพฤติกรรมในการใช้งานของคนในแต่ละประเทศต่างกันไปด้วย อย่างเช่น เครื่องที่มีความสามารถในการใช้งาน email และ text messaging อย่าง Blackberry กลับไม่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย ในขณะที่ความต้องการของผู้ใช้ในบ้านเรา ให้ความสำคัญกับความสามารถทางด้าน multimedia มาก่อน ดังนั้นโทรศัพท์ที่จะสามารถประสบความสำเร็จก็จะต้องมีความสามารถทางด้านนี้เป็นพื้นฐาน นั่นก็ทำให้ iPhone ที่มี feature ทางด้าน multimedia น่าตื่นตาตื่นใจสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องทำการตลาดแต่อย่างใด

ดังนั้นในความเห็นของผมสิ่งที่จำเป็นในการเลือกซื้อน่าจะเป็น ประสบการณ์ในการใช้งานที่ผ่านมา และการเรียงลำดับประสบการณ์การใช้งานที่ต้องการ มากกว่าการมองหาการรวมกันของ spec ที่สูงที่สุดหรือ มี feature ที่มากที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ตอบสนองความต้องการของเราได้เสมอไปก็เป็นได้

Thursday, May 29, 2008

Audacity ไม่อ่านไฟล์!

เมื่อสองสามวันก่อนมีเหตุต้องไปบันทึกเสียงการบรรยายทางวิชาการ 2 วันติดกัน ตกวันละประมาณ 7 ชั่วโมง เนื่องจากอุปกรณ์อัดเสียงไม่ได้มีให้เต็มรูปแบบ ก็เลยต้องพึ่งเจ้า laptop ตัวเก่า ที่เพิ่งลง Ubuntu Hardy มาได้สักพัก ซึ่งก็พบว่า มีโปรแกรม Sound Recorder แถมมากับ distro ด้วย ก็เลยไม่ได้ลงโปรแกรม Audacity ใหม่

ตอนที่บันทึกเสียงชั่วโมงแรกผ่านไปทดลองเลือกเป็น ogg format ด้วยความคิดตอนนั้นว่าเป็น opensource format และขนาดไฟล์ที่ได้มีขนาดเล็กลง แต่ลืมคิดไปว่าความเร็ว CPU อาจจะไม่พอต่อการอัดและ encoding พร้อม ๆ กัน ผลที่ได้ก็คือ เสียงขาดหายไปประมาณ 90% เป็นอันว่า .ogg format ไม่ work

ก็เลยเปลี่ยนเป็นมาอัดเป็น lossless format แทน ซึ่งในโปรแกรม Sound Recorder มีให้เลือก 2 format ก็คือ .wav และ .flac ก็เลยตัดสินใจบันทึกมาเป็น .flac แทน วันแรกมีการหยุดบันทึกเป็นช่วง ๆ ได้ไฟล์ .flac ย่อย ๆ หลายไฟล์

วันที่ 2 รู้สึกจะยุ่งยากกับการวิ่งเข้าออกห้องควบคุม ก็เลยตั้งอัดยาวรวด 7 ชั่วโมง ตั้งใจว่าจะมาตัดต่อทีหลัง ใช้ .flac เช่นเคย หมดวัน ใช้พื้นที่ 4.4 GB

หลังจากนั้นก็ถึงขั้นตอนการทำ encoding ให้กลายเป็น mp3 และตัดต่อเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหา โดยใช้โปรแกรม Audacity พอเริ่มเปิดไฟล์ สิ่งที่เจอปัญหาสิ่งแรกก็คือ Audacity ไม่สามารถอ่านไฟล์ .flac ได้!

ก็เลยต้องหาทาง convert .flac ให้กลายเป็นนามสกุลอื่นก่อน ที่คุ้นเคยดี และเป็น lossless เหมือนกัน ก็คือ .wav ผ่านทางคำสั่ง

flac -d <filename.flac> -o <filename.wav>

โล่งอก เพราะ Audacity สามารถเปิดไฟล์ที่แปลงเป็น .wav ของงานประชุมวันแรกได้อย่างไม่มีปัญหา

สำหรับวันที่ 2 ที่อัดยาว 7 ชั่วโมง ก็ใช้วิธีเดิม คือ convert จาก .flac เป็น .wav หลังจาก convert เสร็จพบว่า Audacity อ่านไฟล์ .wav ที่ convert เสร็จแล้วไม่ออก! แต่ทั้งไฟล์ .flac และ .wav สามารถเปิดได้จาก AmaroK เป็นปกติ

คิดไปคิดมาเอายังไงดี

ก็เลยหาวิธี convert ไฟล์เป็นนามสกุลอื่น ตัดสินใจเลือกเป็น .mp3 เสียก่อน ค้นดูใน net พบว่าการใช้ pipe สามารถรวบ output จาก flac ไปออกที่ lame ได้

flac -cd <filename.flac> | lame -h - <filename.mp3>

หลังจากนั้นก็เปิดไฟล์ .mp3 ด้วย Audacity .... Bingo! เปิดได้แล้วครับ รอดตัวไป

Monday, May 26, 2008

สิทธิ์ของผู้บริโภค Content

ปรากฏการณ์ของ digital media ทั้งหลาย ทำให้เราสามารถเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ได้รวดเร็ว กว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็จริง แต่ทำให้ผู้ผลิตสื่อ และเจ้าของสื่ออิเล็คทรอนิกส์เหล่านี้ ต้องเปลี่ยนมุมมองที่ผู้บริโภคสื่อเช่นเดียวกัน

ในสมัยก่อน ถ้าเราอยากอ่านหนังสือสักเล่ม หรืออยากฟังเพลง ก็เพียงแต่ไปที่ร้านขาย แล้วก็ซื้อมา หลังจากที่อ่านหนังสือจบแล้ว เราก็สามารถเอาไปให้เพื่อนอ่านต่อได้ โดยไม่รู้สึกว่า เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เลย เช่นเดียวกับเพลงหรือภาพยนตร์ทั้งหลาย ที่เราสามารถแบ่งปันให้กับคนอื่นได้เช่นเดียวกัน

ในยุคที่สื่อการเก็บข้อมูลชนิดต่าง ๆ มุงหน้าสู่ความเป็น digital ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งในด้านของการดูแลรักษา ประหยัดเนื้อที่ในการเก็บ ข้อมูลไม่มีการเสื่อมคุณภาพ และที่สำคัญคือสามารถขนถ่าย ทำซ้ำ ได้ง่าย แล้วด้วยความง่ายของการทำซ้ำ และการแจกจ่ายนี่เอง ทำให้ผู้ผลิตสื่อ หรือเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ควรจะได้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้หายไป

เป็นที่มาของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่เริ่มกำหนด Digital Right Management (DRM) เพื่อป้องกัน (หรือทำให้ยาก) ต่อการทำซ้ำ ส่งผลให้เกิดการจำกัดการใช้งานของผู้บริโภคตามมา จนในบางครั้งลุกลามไปถึงความไม่สมเหตุสมผลของการปฏิเสธที่จะให้บริการแก่ผู้บริโภคที่นำผลิตภัณฑ์ไปใช้งานนอกเหนือจากที่กำหนด แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดของผู้ผลิต โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการดัดแปลง ๆ นั้น ๆ เลยก็ตาม ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ HP ปฏิเสธที่จะรับผิดชอบ keyboard ของเครื่องคอมพิวเตอร์ laptop ที่เสีย เพราะว่าผู้ใช้เปลี่ยนระบบปฏิบัติการเป็น Linux แม้ว่า keyboard เสียจะเป็นปัญหาทางด้าน hardware ก็ตาม

สำหรับผู้ใช้ Digital music device ต่าง ๆ ถ้าได้มีประสบการณ์ในการซื้อเพลงออนไลน์แบบติด DRM ก็คงประสบปัญหากันบ้าง ทั้งเรื่องของข้อจำกัดในการติดตั้งเพลงลงบนเครื่องเล่น หรือแม้แต่การจำกัดจำนวนครั้งในการ download เพลง (ที่เราจ่ายเงินซื้อไปแล้ว!)

เมื่อไม่นานมานี้ Microsoft ได้ประกาศ web site จำหน่ายเพลงออนไลน์ใหม่ ในชื่อ Zune Marketplace โดยจะเข้ามาทำหน้าที่แทน web site เดิมอย่าง MSN Music โดยที่ประกาศว่า ผู้ใช้จะไม่สามารถสร้าง key ใหม่ เพื่อนำเพลงที่เคยจ่ายเงินซื้อไปแล้วบน MSN Music ไปใช้ต่อได้ เพื่อให้เพลงที่ขายบน Zune Marketplace ทำงานเข้ากันได้กับระบบเครื่องเล่นเพลงรุ่นใหม่เท่านั้น

web site ที่ขาย eBook อย่าง fictionwise.com ซึ่งแม้ว่าจะเสนอราคาขายที่ถูกกว่า (หรือเท่ากันกับ) หนังสือที่เป็นเล่มก็ตาม แต่ด้วยความง่าย และสามารถตัดต้นทุนในด้านของการขนส่งสินค้าออกไป ทำให้ราคาหนังสือโดยรวมแล้ว ถูกกว่าการซื้อหนังสือเป็นเล่ม แต่ด้วยข้อจำกัดของ DRM (หรือที่เขาเรียกว่า Secure ebook format -- secure = สำหรับคนขาย = ความยุ่งยากของผู้บริโภค) เพื่อป้องกันการแจกจ่ายไปที่อื่น ทำให้ผมรู้สึกว่า ที่จริงแล้ว การซื้อ ebook เหล่านี้ก็ไม่ได้มีต้นทุนที่ถูกนัก เพราะเราไม่สามารถแบ่งหนังสือเล่มนี้ไปให้คนอื่นอ่านได้ หรือแม้แต่การขายสิทธิ์ในการอ่านหนังสือเล่มนี้ไปให้คนอื่น (เปรียบได้กับการเอาหนังสือที่อ่านจบแล้วไปให้กับร้านหนังสือเก่า) ก็ไม่สามารถทำได้ นั่นเท่ากับว่า เราจ่ายเงินซื้อสิทธิ์ในการอ่านหนังสือเล่มนั้น สำหรับตัวเราคนเดียวเท่านั้นเอง

ล่าสุดก็มีกรณีที่เครื่อง Digital TV Recorder ที่ทำงานบน Windows Media Center บน Windows Vista ปฏิเสธการบันทึกรายการที่ผู้แพร่ภาพส่งสัญญาณ "ห้ามบันทึก" แนบมาด้วย แม้ว่าจะเป็นสิทธิ์ของผู้ผลิต hardware หรือ software ที่ทำหน้าที่บันทึก สามารถเลือกได้ว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายก็ตาม

ในอนาคต digital media ทั้งหลายก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ การที่เจ้าของเนื้อหาจะจำกัดวิธีการบริโภคสื่อนั้น ๆ ให้อยู่ในเฉพาะรูปแบบที่ตนเองต้องการ ในขณะที่ผู้บริโภคมีช่องทางการเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่เจ้าของเนื้อหาทำคือการสร้างกำแพงในการเข้าถึงสื่อเหล่านี้เสียเอง เราคงจะยังเห็นปัญหาที่เกิดจากการใช้ DRM เกิดขึ้นอีกมาก แต่อย่าลืมว่า ในสังคมที่มีผู้บริโภคอยู่เป็นจำนวนมหาศาล เราก็จะมีทางเลือกใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้บริโภคก็จะเป็นผู้ตัดสินความอยู่รอดของผู้ผลิตสินค้า

Monday, April 14, 2008

E-mail และ Text messages: ลด IQ มากกว่าสูบกัญชา

นักจิตวิทยา จาก University of London รายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการใช้งาน text messaging และ email ที่มีผลต่อ IQ (สนับสนุนโดย Hewlett Packard) โดยแสดงผลของภาวะ Infomania หรือการหมกมุ่นอยู่กับการส่งข้อความผ่านทางช่องทางอิเล็คทรอนิกส์ต่าง ๆ (Electronics Messaging) ซึ่งมีสิ่งที่ทำให้วอกแวกเข้ามาตลอด กลายเป็นปัญหาสำคัญของคนทำงาน โดยเฉพาะผู้ชาย สมองจึงถูกกำหนดให้เตรียมพร้อมรับหลากหลายเรื่อง ตลอดเวลา (always on) แต่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับทางที่อยู่ตรงหน้าลดลง เป็นเหตุให้ IQ ลดลงแบบชั่วคราว

โดยการวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรก มีผู้เข้าร่วมการทดสอบ IQ 80 คน ซึ่งผู้วิจัยพบว่า มีการลดลงของ IQ โดยเฉลี่ยประมาณ 10 จุด (มากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับการสูบกัญชา ซึ่งลดลงประมาณ 4 จุด ในขณะที่การอดนอนก็ทำให้ IQ ลดลง 10 จุด) ในส่วนที่ 2 เป็นการตอบแบบสอบถาม ซึ่งพบว่า 62% มีการ”เสพติด”การเช็คข้อความ และ e-mail ที่เกี่ยวข้องกับงาน แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือในวันหยุด ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ยอมรับว่า ต้องตอบข้อความนั้น ๆ ทันที และ 1 ใน 5 จะหยุดการพบปะ หรือการประชุมเพื่อตอบข้อความ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม

ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ให้คำแนะนำแก่องค์กรที่มอบหมาย handheld communication device ให้แก่พนักงานว่า ควรกำหนด “แนวทางการใช้งาน” ให้แก่ผู้ใช้ เพื่อป้องกันการเปิดภาวะ online 24 ชั่วโมง

ตอนนี้มีเทคโนโลยีที่ทำให้เราติดต่อกันได้เร็วและง่ายขึ้นเสียด้วย ว่าแต่เจ้า Twitter นี่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีเลยหรือเปล่าครับ?

ทีมา: Why texting harms your IQ - Times Online

Saturday, December 16, 2006

Multi Touch-sensitive screen

จากหน้าจอ touch screen ธรรมดา ตอนนี้มีคนคิด multi touch-sensitive screen ขึ้นมาแล้ว ถ้ามีคำถามว่า เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้มันจะทำอะไรได้บ้าง วิดีโอนี้มีคำตอบ



ดูแล้วชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง Minority Report ขึ้นมาทีเดียวครับ

Wednesday, December 06, 2006

Sunday, November 05, 2006

หมึก inkjet ... ราคาเท่าไหร่??

ตอนนี้แทบทุกบ้านที่มีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้งานก็คงจะมี printer ไว้ติดบ้านกันไว้อยู่แล้ว ซึ่ง printer ที่เป็นที่นิยมในอันดับต้น ๆ ก็คือ inkjet printer นั่นเอง

วันนี้ได้มีโอกาสพบข้อมูลของหมึกพิมพ์ของ inkjet printer เหล่านี้ มาจาก 2 แหล่งพร้อม ๆ กันครับ ทำให้ค้นพบความจริงที่ว่า หมึกพิมพ์ของ inkjet นั้นแพงเพียงใด


รูปแรกนี้มาจาก web TechXcite
ได้มากจากการใส่น้ำลงไปในตลับหมึกของ Epson แล้วก็จัดการตวงออกมาใส่ขวดยาคูลท์

ซ้ายมือเป็น หมึกที่เหลืออยู่โดยที่เครื่องพิมพ์รายงานว่าไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ขวามือเป็นน้ำที่ใส่เข้าไปหลังจากเอาหมึกออกมา

ก้นขวดยาคูลท์เท่านั้นเอง คำนวณเทียบกับราคาที่จ่ายไปได้ ไม่ต่ำกว่าลิตรละ 20,000 บาท !

รูปที่ 2 ได้มาจาก web GizModo เปรียบเทียบราคาต่อลิตรกับของเหลวอื่น ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

แพงกว่าเลือดมนุษย์ และยาอีก

ไม่มีใครลองเปรียบเทียบกับทองคำดูสักทีนะครับ ว่าเทียบกันต่อน้ำหนักแล้วอะไรแพงกว่ากัน

Related links
TechXcite: ชำแหละตลับหมึก
Gizmodo: HP Ink Costs More than Human Blood, Booze

Saturday, October 28, 2006

The Dark Side of Podcast

ช่วงนี้มี podcast เกิดขึ้นตามกระแสของ iPod มาเรื่อย ๆ พอ Podcast ภาษาไทยเริ่มมีมากขึ้นก็มีความหลากหลายมากขึ้น

จนได้มาเจอกับ podcast อันหนึ่ง ในสังคมอินเตอร์เนตที่ไม่มีการเซ็นเซอร์แห่งนี้

http://www.mouthgun.com/

ไม่มีอะไรมากกับหนุ่มสาวที่ถูกกระแสวัตถุนิยมพัดพาไปสู่ด้านที่ดำมืดของสังคม

คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสังคมไทยอยู่จริง ๆ ถ้าฟังได้จนจบก็คงจะได้ความรู้เกี่ยวกับโลกมีใบหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยเข้าไปสัมผัส

เป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งว่า เทคโนโลยี การศึกษา กับศีลธรรม เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกัน แต่จำเป็นต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน

Saturday, October 14, 2006

All I've ever wanted in gadget


เราเคยจินตนาการว่าอยากได้ความสามารถอยู่โน้นอย่างนี้มาไว้ในเครื่อง PDA โทรศัพท์ หรือ handheld อื่น ๆ มากมายเต็มไปหมด จนตอนนี้มันทำได้แทบจะทุกอย่าง จนมีคนที่มองการที่มีอะไรไปเสียทุกอย่างนั้นเป็นข้อเสีย แบบการ์ตูนชิ้นนี้ครับ

ต้องมีอันใดอันหนึ่งที่เคยตรงความรู้สึกของเราบ้างล่ะ

Monday, August 28, 2006

Video ทำ Pancake ระบาด!

ขออนุญาตคัดลอกข่าวจาก web site ผู้จัดการครับ

มหัศจรรย์​! ​คลิปทำ​แพนเค้กฮิต​ทั่ว​โลก
โดย​ ​ผู้​จัดการออนไลน์ 28 ​สิงหาคม​ 2549 09:21 ​น.
คลิปทำ​แพนเค้กพร้อมเพลงประกอบ​ ​กลาย​เป็น​หนังสั้นที่คน​เป็น​ล้าน​ทั่ว​โลก​ให้​ความ​สนใจ
บีบีซีนิวส์​ - ​หนังสั้นบอกเล่า​เรื่องราวการทำ​แพนเค้ก​โดย​นักศึกษาอะ​เบอร์ดีน​ ​กลาย​เป็น​หนังฮิตไป​ทั่ว​โลก​ ​หลัง​จาก​เจ้าตัวนำ​ออกเผยแพร่ทางอินเทอร์​เน็ต

​เจมส์​ ​โพรแวน​ ​หนุ่มสก็อตต์วัย​ 23 ​ปี​ ​ถ่ายวิดี​โอ​ใน​ห้องพักของตัวเอง​ ​เพื่ออุทิศ​ให้​กับ​ขนมสุดโปรด​ ​และ​นำ​ไปเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยัวร์ทูบ

​ปรากฏว่า​ ​มี​ผู้​แวะ​เวียนไปดูหนังสั้นของโพรแวน​ถึง​กว่า​ 700,000 ​คน​ ​แถม​ได้​แพร่ภาพ​ให้​แฟนๆ​ ​จอตู้​ใน​อเมริการาว​ 6 ​ล้านคน​ได้​ชม

​หนังสั้นเรื่องนี้​ยัง​มีที​เด็ด​จาก​เพลงที่​โพรแวนแต่งเอง​โดย​ใช้​คีย์บอร์ด​ ​ซึ่ง​ไม่​เชื่อก็​ต้อง​เชื่อว่า​ ​ตอนนี้​ไปขึ้นชาร์ตอันดับ​ 3 ​ของสถานีวิทยุ​ใน​อิสรา​เอล

​นักศึกษาสาขาคอมพิวเตอร์กล่าวว่า​ "ผมปลื้มมาก​ ​แล้ว​ก็ตื่นเต้นมากๆ​ ​ตอนนี้มีหลายบริษัทติดต่อมา​ ​ถามว่าผมสนใจทำ​ภาพยนตร์​โฆษณาทางทีวี​หรือ​วิดี​โอลงอินเทอร์​เน็ต​หรือ​เปล่า​"

​โพรแวนเล่าว่า​ ​ทำ​หนังสั้น​โดย​ใช้​กล้องวิดี​โอธรรมดาวางบนขาตั้งกล้อง​ ​และ​ถ่ายภาพตัว​เขา​ลุก​จาก​เตียงขึ้นมา​ใน​ตอน​เช้า​และ​ทำ​แพนเค้ก

"ผมชอบทำ​แพนเค้ก​ ​บางวันทำ​กินเอง​ 30 ​ชิ้น​ ​ผมเลยคิดว่า​ ​น่า​จะ​เปิดบ้าน​และ​ชักชวน​ให้​โลก​ได้​รู้วิธีทำ​แพนเค้ก

"ผม​ใช้​เวลาถ่าย​อยู่​หนึ่งสัปดาห์​ ​หลัง​จาก​นั้น​ก็​ไปโพสต์ลง​ใน​ยัวร์ทูบ​ ​และ​เกือบ​จะ​ใน​ทันที​นั้น​ผมก็​ได้​รับอี​เมล​จาก​รายการกูด​ ​มอร์นิง​ ​อเมริกาของเครือข่ายเอบีซี​ ​ขออนุญาตนำ​ออกแพร่ภาพ​ใน​รายการ

"ครอบครัวผมภูมิ​ใจมาก​ ​เพื่อนๆ​ ​ส่วน​ใหญ่​แทบ​ไม่​อยากเชื่อ​ ​แล้ว​การที่​เพลงของผมติดชาร์ตก็​เป็น​เรื่องบังเอิญที่สุด​เท่า​ที่ผมเคย​ได้​ยินมา​"

​ขณะนี้​ ​โพรแวนเตรียมตัวกลับไปเรียนต่อ​ใน​มหาวิทยาลัยอะ​เบอร์ดีน​ใน​ชั้นปีที่สอง

"ผม​จะ​กลับไปเรียนมหาวิทยาลัย​ ​แม้ว่า​จะ​ได้​รับข้อเสนองานดีๆ​ ​ก็ตาม​ ​และ​ผมก็​จะ​ยัง​ทำ​วิดี​โอ​ให้​โลก​ได้​เพลิดเพลิน​กัน​ต่อไป"

​สำ​หรับ​ผู้​สนใจคลิปแพนเค้กของ​เขา​สามารถ​ดู​ได้​ที่​ www.gir2007.com


http://www.gir2007.com/

Saturday, August 19, 2006

บ้านตุลาไทย : Thai October

วันก่อนได้ไปเยี่ยมชม web site ของคาราวานมาทีหนึ่งแล้ว ก็ยังได้เจอกับ link ไปยัง web แห่งนี้อีกด้วยครับ บ้านตุลาไทย http://www.thaioctober.com/ มีสถานีวิทยุ online เปิดเพลง คลาสสิกสลับกับเพลงไทยยุคเดือนตุลาด้วย

สามารถเข้าตรงไปยัง สถานีผ่านทาง Windows Media Player หรือ MPlayer ก็ได้ครับ

http://221.128.79.20:8300/listen.pls

Sunday, August 13, 2006

We take you to a pre "Zune" Meeting of Microsoft Marketing Minds

Zune: iPod Killer?





มีข่าวออกมาจาก Microsoft เกี่ยวกับ Portable Media Player ตัวใหม่ ที่ตั้งใจออกมาเพื่อล้ม iPod โดยเฉพาะ หลังจากที่ปล่อยให้ Apple โกยเงินในธุรกิจเพลงออนไลน์อยู่พักใหญ่ ในที่สุดพี่ บิิลล์ ของเราก็ขอมีส่วนแบ่งด้วยคน

สำหรับอุปกรณ์ตัวใหม่ของ Microsoft ตัวนี้ เดิมทีมีชื่อโครงการว่า Argo ขณะนี้อยู่ในระหว่างการผลิต โดยที่ยังไม่มีการยืนยันความสามารถอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ข่าวลือจากหลายกระแสออกมาตรงกัน ดังนี้

  • 400 MHz DSP Processor
  • 30 GB HDD
  • Click Wheel-liked interface
  • Built-in WiFi
  • High resolution screen
  • Windows Mobile Operating System
  • ?VOIP Capabilities


สำหรับจุดเด่นที่ทาง Microsoft ตั้งเป้าว่าจะทำให้ Zune เหนือกว่า และสามารถแย่งลูกค้าจาก Apple ได้ก็คือเทคโนโลยี WiFi ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ Online Music Store ได้โดยไม่ต้องผ่าน desktop PC รวมทั้งยังสามารถ share เพลงต่าง ๆ ให้กับผู้ใช้คนอื่น ๆ ได้อีกด้วย

นอกจากจุดเด่นทางด้าน hardware แล้ว ในเรื่องของ ร้านขายเพลง online ก็มีข้อเสนอให้กับผู้ใช้ iTunes ให้สามารถ download เพลงที่ผู้ใช้ได้ทำการซื้อผ่าน iTunes ในรูปแบบของ Windows Media Audio เพื่อใช้ใน Zune ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย

สำหรับวิธีการใช้บริการร้านขายเพลงออนไลน์นั้น มีการคาดการณ์กันว่าจะมีบริการ 2 แบบ คือ จ่ายค่าบริการรายเดือน แล้วฟังอย่างไม่จำกัด หรือ ซื้อสิทธิ์ในการฟังแบบถาวร

คาดว่าจะเริ่มวางตลาดได้ในช่วงพฤศจิกายนของปีนี้ครับ

ก็คงต้องดูกันต่อไปว่าฝันของ Microsoft ที่จะล้ม Apple จะเป็นจริงหรือไม่ หรือกลายเป็นศึกยืดเยื้ออย่าง XBox กับ PSP

ZuneInsider.com

Wednesday, August 02, 2006

คาราวาน ปี 2006


สำหรับแฟน ๆ คาราวานโดยเฉพาะครับ ใครที่ติดตามผลงานอยากให้ลองแวะเข้า web site ของพวกเขาดูครับ มีเรื่องราวเกี่ยวกับ คาราวาน รวมทั้ง สามารถสั่งซื้อผลงานผ่านทาง web site ได้ด้วยครับ ที่นี่เลย
www.caravanonzon.com

Saturday, May 13, 2006

Light saber duel video

กะว่าจะหาไฟล์เสียงของ light saber ก็ไปเจอเอา home made video อันนี้ครับ

http://videosift.com/story.php?id=630

ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบไปเลย

ลอง Google Calendar


วันนี้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Google อีกแล้วครับ เป็นตัว Google calendar

จุดเด่นของ Calendar ตัวนี้ก็คือ สามารถกำหนดให้เป็น public calendar หรือ private calendar ก็ได้ ซึ่งเราสามารถเอา calendar อันอื่น ๆ มา join เป็นปฏิทินอันเดียว ทำให้ดูง่ายขึ้นเยอะสำหรับคนที่ต้องจัดการเวลาโดยอิงกับตารางเวลาของคนอื่นด้วย เปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนกับ แต่ละคนเขียนตารางเวลาใส่ปฏิทินที่เป็นแผ่นใส แล้วก็เอามาวางซ้อนกัน

ถ้าไม่อยากให้ปฏิทินอันไหนแสดงก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบครับ

ที่นี่เลย
http://www.google.com/calendar/render

Monday, April 24, 2006

SD card reader หน้าตาเป็น thumb drive


พอดีไปเดินพันธุ์ทิพย์ครับ มองหา card reader แทนเจ้าตัวเก่าที่ไม่สามารถเขียนลง SD card ได้ (ซะงั้น) ไปเจอเข้ากับ SD card reader ที่สามารถอ่าน card ในขนาดของ SD ได้หลายตัวเหมือนกัน หน้าตาเหมือน thumb drive เพราะมีฝาปิดหัวท้ายเรียบร้อยเชียว



ขาดไปอย่างเดียวก็ที่ร้อยสายห้อยคอนั่นล่ะครับ

ทีนี้ก็เลยได้ฤกษ์เอา SD card 256 MB ที่เลิกใช้ไปแล้ว กลับมาทำเป็น thumb drive ได้อีกครับ

แยกหัวใส่ SD card







แยกท้ายใส่ USB










ราคาก็อยู่ประมาณ 150 บาทครับ เดินดี ๆ หาได้ที่ 120 บาท

ภาพถ่ายโดยใช้ กล้องจากมือถือ Motorola L6 ครับ ความละเอียดแค่ 0.3 m.pixels เท่านั้นเอง แต่ไม่เคยใช้กล้องในมือถือมาก่อน เพราะเพิ่งเปลี่ยนจาก เจ้า T68i ครับ

ตอนนี้กล้อง digital ชาร์จถ่านอยู่ ถ้าชาร์จเสร็จแล้วจะมาเล่าเรื่อง L6 ครับ