Showing posts with label mind. Show all posts
Showing posts with label mind. Show all posts

Friday, March 02, 2012

ศาสตร์ของการลืม #2 :ความทรงจำเปราะบางกว่าที่เราคิด

ภาพจาก flickr โดย droetker0912
หลายคนคงเชื่อ ว่า ความทรงจำของคนเราเป็นเหมือนม้วนเทปวิดีโอที่เก็บสิ่งที่เราจำเอาไว้ได้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง (และเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยกรีก) และมันจะคงอยู่อย่างนั้น ติดตัวเราไปตลอด แนวคิดของเทคโนโลยีการกำจัดความทรงจำระยะยาวปรากฏในเรื่องราวความพยายาม ลบ'เธอคนนั้น'ออกไปจากความทรงจำ ในภาพยนตร์เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind หรือเหตุการณ์ที่ชีวิตของมนุษย์ถูกอยู่ภายใต้สิ่งมีชีวิตที่มีอำนาจควบคุมความทรงจำ ใน Dark City

ในปัจจุบัน มีการเสนอทฤษฎีว่า ความทรงจำระยะยาวของคนเรา อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ภาค คือ เหตุการณ์ (เสียง ภาพต่าง ๆ) กับ อารมณ์ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น โดยเหตุการณ์ที่จำได้จะกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกตามมา ต่อเนื่องกันในลักษณะของห่วงโซ่ (chain of memories) ซึ่งตัวอย่าง ปัญหาความทรงจำระยะยาวที่ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของ คือ ภาวะเครียดหลังประสบเหตุการณ์เลวร้าย (Post-Traumatic Stress Disorder: PTSD)

ความเชื่อเรื่องความแม่นยำของความทรงจำ เริ่มถูกท้าทาย ในช่วงทศวรรษ 1980s ว่า ที่จริงแล้วความทรงจำของคนเรานั้นถูกเก็บอย่างเปราะบางมากกว่าที่คิด เมื่อมีการค้นพบโปรตีนที่มีชื่อว่า PKMZeta ที่จุดเชื่อมต่อ (synapses) ของเซลล์ประสาทในสมอง ทำให้เซลล์ประสาทสามารถเชื่อมต่อกันได้เป็นเวลานาน ๆ ซึ่งกลไกการเชื่อมต่อนี้ จำเป็นต้องได้รับการย้ำ (reconsolidation) เป็นประจำ ทุกครั้งที่เรานึกถึง ความทรงจำนั้น จะถูกปรุงขึ้นใหม่ และเขียนทับลงไปใหม่ แต่ด้วยส่วนผสมที่อาจต่างไปจากเดิม หรือมิฉะนั้นความทรงจำนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป

เมื่อไปทดลองในหนู ที่ถูกสร้างเงื่อนไขให้กลัวการถูกไฟฟ้าช็อตหลังได้ยินเสียงที่กำหนด พบว่า การโจมตีการสร้าง PKMZeta ในขณะที่หนูได้ยินเสียง (ที่จะตามมาด้ายการถูกช็อต) ทำให้หนูเลิกแสดงอาการกลัวในเงื่อนไขเดิม (ยับยั้งกลไก reconsolidation , ทำลายห่วงโซ่ของความจำ) ในขณะที่เงื่อนไขอื่น และความทรงจำอื่นยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิม

ด้วยแนวคิดนี้จึงได้มีการ นำมาประยุกต์ใช้ลดผลกระทบด้านอารมณ์จากความทรงจำที่เลวร้ายในคนไข้ PTSD ด้วยการ'เขียนซ้ำ'ความทรงจำด้านอารมณ์ใหม่ โดยการให้คนไข้รื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้ายนั้น ในขณะที่ได้รับยาที่ส่งผลต่ออารมณ์ อย่าง propranolol (ลดความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ลดความตื่นเต้น) หรือกระทั่งการใช้ยา ecstasy หรือที่รู้จักในชื่อ ยาอี (!!) ซึ่งทำให้ การรื้อฟื้นความทรงจำในครั้งต่อ ๆ มา แม้ว่าคนไข้จะยังจำเหตุการณ์ได้ แต่ก็ส่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ลดลงกว่าเดิม หรือเทคนิค การทิ้งช่วงหลังเกิดเหตุการณ์ระยะหนึ่ง ซึ่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ของผู้ประสบเหตุการณ์นั้นลดลงแล้ว จึงให้ผู้ประสบเหตุระบายอย่างละเอียดออกมา (critical incident stress debriefing: CISD) ทำให้เกิดการ'เขียนทับ'ความทรงจำใหม่ที่มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกลดลง

เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า ความทรงจำที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง ที่จริงแล้วถูกเก็บไว้อย่างเปราะบาง และแม้ว่ายาเม็ดที่กินแล้ว ทำให้ลืมเรื่องเลวร้ายได้ คงยังไม่มาถึงในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่เราก็ได้รู้ว่ามีสิ่งที่เป็นไปได้ในประโยคที่ ฮัน โซโล พูดถึงการจากไปของ ชิวแบ็กก้า:
"เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนวิธีจดจำมันได้"
(ดัดแปลงจากประโยคต้นฉบับ: "How do you change the past?" "Simple. By changing the way you remember it.")

ที่มา:

Wednesday, January 25, 2012

Earworm: เสียงเพลงที่วนเวียนอยู่ในหัว

เช้าวันหนึ่ง ระหว่างที่คุณกำลังนั่งกินอาหารเช้า คุณได้ยินเสียงเพลงที่กำลังฮิตจากวิทยุ เพราะดี.. คุณเริ่มฮัมเพลงนี้ในใจ

คุณ ขับรถออกมาทำงาน ระหว่างที่ติดไฟแดง คุณพบว่า ท่อนฮุกของเพลงสุดฮิต ยังคงถูกเล่นในหัว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. มันคงจะฮิตจริง ๆ.. ระหว่างกินข้าวกลางวันคุณพบว่า.. คุณหยุดคิดถึงเพลงนี้ไม่ได้ (!!) คุณใช้เวลาตลอดบ่ายเอาหัวโขกข้างฝา และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ฟังเพลงนั้นอีกตลอดชีวิต

จากการวิจัย พบว่า 98% ของคนทั่วไปเคยมีประสบการณ์เสียงเพลงที่เล่นวนเวียนอยู่ในหัว ที่รู้จักกันในชื่อ earworm (แปลตรงตัวว่า หนอนรูหู) กันมาแล้วทั้งนั้น earworm นี้พบบ่อยในผู้หญิง และนักดนตรี และสร้างความรำคาญให้กับผู้หญิงมากกว่า แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ชัดเจนว่า earworm มันมีประโยชน์กับเรายังไง แต่ก็มีทฤษฎี และการทดลองที่อธิบายปรากฏการณ์นี้จาก ความพยายามเติมเต็มช่องว่างของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟัง (auditory cortex) เช่นเดียวกับ เวลาที่เราสามารถนึกทำนองเพลงที่คุ้นหู ต่อเนื่องได้แม้ว่าเสียงเพลงจริงๆ จะหยุดไปแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกเพลงที่จะกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ earworm ได้เสมอไป คุณสมบัติของเพลงที่มีแนวโน้มจะเป็น earworm คือ

  • จำง่ายมาก และง่ายต่อการร้องตาม
  • เป็นทำนองซ้ำๆ (repetitive) เป็นที่สังเกตว่า earworm มักเป็นท่อนฮุกที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา เราก็มักจะจำได้แค่ท่อนฮุกนั่นแหละ และสมองจะพยายามหาทางออกจากท่อนฮุกนั้นให้ได้ แต่'ติดหล่ม'หาทางออกจากท่อนฮุกที่ว่า ไม่เจอ (!) (อ่านวิธีแก้ในย่อหน้าถัดไป)
  • มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ หรือทำนอง ที่กระตุกชวนให้สมองติดตาม เติมเต็มช่องว่าง และ 'ติดหล่ม' ในที่สุด

มีความพยายามมากมายในการหาวิธีแก้ earworm ที่ได้ผลชะงัด วิธีที่ง่ายและใช้กันบ่อยได้แก่
  1. ฟังเพลง และร้องเพลงนั้นให้จบทั้งเพลง เพื่อเป็นการปลดล็อกสมองจากสภาวะติดหล่มท่อนฮุก
  2. เอาไปติดคนอื่น - earworm สามารถติดต่อได้ คงไม่ต้องบอกว่า ทำยังไงให้คนข้างๆ ฮัมเพลงเดียวกับคุณ แน่นอนว่า earworm อาจจะไม่หายไป แต่คุณจะรู้สึกดีขึ้น (หรือแอบสะใจ) ที่ได้แบ่งมันให้กับคนอื่น
  3. ร้องเพลงอื่นแทน (eraser tune) ถ้าคุณกำจัด earworm ได้สำเร็จด้วยวิธีนี้ ยินดีด้วย คุณได้ยัดหนอนตัวใหม่เข้าไปในหูแทนเป็นที่เรียบร้อย
(วิธีการกำจัด earworm แบบพิสดารอื่น ๆ ตั้งแต่ สวดมนต์ เล่น sudoku และปีนหอไอเฟล ดูได้จาก link ที่มาด้านล่าง)

อย่าง ที่พิมพ์ไปตอนต้นว่า แม้เราจะไม่รู้ว่า earworm มีประโยชน์กับเรายังไง แต่ก็มีการนำความรู้เกี่ยวกับ earworm ไปใช้ในการผลิตสื่อ และโฆษณา เพื่อสร้างเพลงโฆษณาที่ติดหู และเพลงฮิตติดชาร์ต รวมทั้งกลยุทธการโปรโมทที่ทำให้สมองเรา 'ตกหล่ม' ที่เราเจอในชีวิตประจำวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับคนที่สงสัยว่า ใครเป็นคนบัญญัติคำว่า earworm ช่างตรงใจอะไรเช่นนี้ ที่จริงแล้ว คำว่า earworm มาจากคำว่า "Ohrwurm" ในภาษาเยอรมัน มีความหมายว่า ความ'คัน'ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งมีชีวิตในนิทานปรัมปราเล่มไหนทั้งสิ้น

via

Friday, December 30, 2011

ศาสตร์ของการลืม: การมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่ การมีความสามารถในการ'จำ' แต่เป็นความสามารถในการ'ลืม'

  • การลืม เป็นการเคลียร์ข้อมูลเก่าในอดีต เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับข้อมูลใหม่ในปัจจุบัน
  • ความจำ มักเกี่ยวข้องกับ อารมณ์ ความรู้สึก, การลืม จึงเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูจิตใจ หลังผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย
  • การไม่สามารถลืม มีความเกี่ยวข้องกับ ภาวะสมาธิสั้น (Attention Deficeit Hyperactive disorder:ADHD) และซึมเศร้า (แต่ไม่รู้อะไรเกิดก่อน)
เทคนิคการลืม
  • การบังคับลืม:"mental brake" ฝึกฝนได้ เพราะสมองมีกลไกการยังยั้ง hippocampus (ความจำ) โดย prefrontal cortex (คิด วางแผน บริหารจัดการ ยับยั้ง)
  • หาอย่างอื่นทำไปเลย (distraction) ในระหว่างที่นึกได้
  • หาสิ่งทดแทน (substitution) เกี่ยวกับเรื่องที่จำได้ แต่การลืมมักไม่สมบูรณ์
via: Scientific American