- ลิงชิมแพนซี ไม่ใช่บรรพบุรุษของมนุษย์ แต่มนุษย์และลิงชิมแพนซีมีบรรพบุรุษร่วมกันต่างหาก
- เต่าบกกับเต่าทะเล อะไรเกิดก่อนกัน? - เต่าบกเกิดก่อน แล้วส่วนนึงกลับลงไปในทะเล นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเต่าทะเลยังขึ้นมาวางไข่บนบก เพราะบนบกเคยเป็นบ้านของมัน
- วิวัฒนาการของกระดองเต่า เกิดตั้งแต่บนบกหรือในทะเล? - กระดองส่วนล่างวิวัฒนาการในทะเล ส่วนกระดองส่วนบนวิวัฒนาการบนบก เพราะในทะเล ผู้ล่ามักมาจากข้างล่าง ส่วนบนบก ผู้ล่ามักมาจากข้างบน
- หางของวาฬ และโลมา ไม่เหมือนหางของปลาอื่น ๆ - เพราะว่า ปลาทั่วไปอยู่ในน้ำมาตลอด วิวัฒนาการได้หางแนวตั้ง เพื่อเคลื่อนที่โดยขยับกระดูกสันหลังในแนวขวาง ซึ่งวิวัฒนาการต่อมาเป็นการเคลื่อนไหวของงูเลื้อย และสัตว์เลื้อยคลานอื่น ๆ
ส่วนบรรพบุรุษของวาฬและโลมา เคยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่บนบก ซึ่งมีการเคลื่อนที่โดยการขยับกระดูกสันหลังในแนวบน-ล่าง วาฬและโลมา จึงวิวัฒนาการได้หางแนวนอน
และอื่น ๆ อีกมากมาย
Showing posts with label book. Show all posts
Showing posts with label book. Show all posts
Monday, September 24, 2012
The Greatest Show on Earth โดย Richard Dawkins
Monday, November 14, 2011
[Read] Carl Sagan's The Demon-Haunted World: เส้นแบ่งระหว่างวิทยาศาสตร์แท้-เทียม
The Demon-Haunted World: Science as a Candle in the Dark เป็นผลงานอีกเล่มหนึ่งของ Carl Sagan นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกสำคัญที่ได้แนะนำเรื่องราว ของโลกวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยงานเขียน และสารคดีที่กลายเป็นตำนานมาแล้วอย่าง Cosmos
หนังสือเล่มนี้เป็นผล งานในช่วงบั้นปลายของ Sagan ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995 (Sagan เสียชีวิตในปี 1996) ในหนังสือเล่มนี้ Carl Sagan ได้ตีเส้นแบ่งโลกของวิทยาศาตร์ (science) ออกจาก วิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) โดยอาศัยรากฐานของการคิดเชิงวิเคราะห์ และความช่างสงสัย (skeptical) ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถาม และวิธีการดำเนินการพิสูจน์ตามแบบของวิทยาศาสตร์ แทนที่จะใช้ความเชื่อเป็นตัวชี้นำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างที่เรา เจอกันบ่อย ๆ
ตัวอย่างของ pseudoscience ที่หนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ ก็คือเรื่องของปรากฏการณ์ถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว (alien abduction) ซึ่งซีรี่ย์ยอดนิยม ติดกลิ่นอาย scifi อย่าง The X-Files ได้นำมาใช้เป็นพล็อตเรื่องหลัก เรื่องราวมักจะเริ่มต้นจากเรื่องเล่าของเหยื่อที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว ไปทำการทดลองต่าง ๆ นานา ตั้งแต่การถูกจับ (มักจะเป็นในเวลากลางคืน) ถูกนำตัวไปทดลอง (ผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อออกจากร่างกาย โดยไม่ทิ้งแผลเป็น) การผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาว ความสามารถพิเศษในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ไปจะถึงข้อสงสัยที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปกปิดเรื่องที่มีการติดต่อกับมนุษย์ ต่างดาว (กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีสมคบคิดตามมาอีกต่างหาก แม้ว่าจะปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก) ที่น่าสนใจคือ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านการสะกดจิต แม้ว่าจะไม่เคยมีหลักฐานยืนยันจริง ๆ มาก่อนเลยก็ตามที แต่คนส่วนหนึ่งก็ยังคงปักใจเชื่อกับเรื่องนี้
ปรากฏการณ์ การถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาวที่เกิดขึ้นถูกนำไปเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ ปาฏิหาริย์ทางศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นในยุคศาสนจักร ซึ่งปรากฏการณ์ทั้ง 2 อันนี้ มีความเหมือนกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นทางด้านจิตวิทยา ความเชื่อ และความทรงจำ (ซึ่งช่วงหลัง ๆ เริ่มมีหลักฐานออกมาเรื่อย ๆ ว่า ความจำของคนเราเชื่อถือไม่ค่อยจะได้)
หนังสือเล่มนี้ยังได้วิจารณ์ การสนับสนุนด้านการศึกษา และวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ เรียกได้ว่า แนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ถูกใส่เข้าไปตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญของอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์อย่าง เบนจามิน แฟลงคลิน มีส่วนร่วมในการเขียนขึ้นมา แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นว่า งบประมาณสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์ถูกตัด และถูกนำไปใช้ทางด้านความมั่นคงอย่างไม่สมเหตุสมผล ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์น้อย และมีความเชื่อในวิทยาศาสตร์เทียมจนน่าตกใจ ซึ่งการใช้ความเชื่อนำหน้าเหตุผลนี้สามารถนำไปสู่เหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปรากฏการณ์"ล่าแม่มด"ในยุคกลาง (อ่านถึงตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง The Crucible ขึ้นมาเลย) เผด็จการฟาสซิสม์ และลัทธินาซี
สำหรับผู้ที่สนใจหาคำอธิบายเกี่ยวกับ การตั้งข้อสงสัย คำเล่าลือเกี่ยวกับอสุรกายต่าง ๆ บนโลกใบนี้แบบเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้ติดตามผลงานของ Carl Sagan The Demon-Haunted World เป็นหนังสือแนะนำ สามารถซื้อ kindle format ผ่านเวบ Amazon ได้ แต่ผลข้างเคียงของการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ อาจจะทำให้คุณอ่านนิยายแนวแฟนตาซีสนุกน้อยลง และมองนิยายวิทยาศาสตร์บางเรื่องเป็น pseudoscience ไปเลยก็เป็นได้
หนังสือเล่มนี้เป็นผล งานในช่วงบั้นปลายของ Sagan ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995 (Sagan เสียชีวิตในปี 1996) ในหนังสือเล่มนี้ Carl Sagan ได้ตีเส้นแบ่งโลกของวิทยาศาตร์ (science) ออกจาก วิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) โดยอาศัยรากฐานของการคิดเชิงวิเคราะห์ และความช่างสงสัย (skeptical) ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถาม และวิธีการดำเนินการพิสูจน์ตามแบบของวิทยาศาสตร์ แทนที่จะใช้ความเชื่อเป็นตัวชี้นำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างที่เรา เจอกันบ่อย ๆ
ตัวอย่างของ pseudoscience ที่หนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ ก็คือเรื่องของปรากฏการณ์ถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว (alien abduction) ซึ่งซีรี่ย์ยอดนิยม ติดกลิ่นอาย scifi อย่าง The X-Files ได้นำมาใช้เป็นพล็อตเรื่องหลัก เรื่องราวมักจะเริ่มต้นจากเรื่องเล่าของเหยื่อที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว ไปทำการทดลองต่าง ๆ นานา ตั้งแต่การถูกจับ (มักจะเป็นในเวลากลางคืน) ถูกนำตัวไปทดลอง (ผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อออกจากร่างกาย โดยไม่ทิ้งแผลเป็น) การผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาว ความสามารถพิเศษในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ไปจะถึงข้อสงสัยที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปกปิดเรื่องที่มีการติดต่อกับมนุษย์ ต่างดาว (กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีสมคบคิดตามมาอีกต่างหาก แม้ว่าจะปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก) ที่น่าสนใจคือ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านการสะกดจิต แม้ว่าจะไม่เคยมีหลักฐานยืนยันจริง ๆ มาก่อนเลยก็ตามที แต่คนส่วนหนึ่งก็ยังคงปักใจเชื่อกับเรื่องนี้
ปรากฏการณ์ การถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาวที่เกิดขึ้นถูกนำไปเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ ปาฏิหาริย์ทางศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นในยุคศาสนจักร ซึ่งปรากฏการณ์ทั้ง 2 อันนี้ มีความเหมือนกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นทางด้านจิตวิทยา ความเชื่อ และความทรงจำ (ซึ่งช่วงหลัง ๆ เริ่มมีหลักฐานออกมาเรื่อย ๆ ว่า ความจำของคนเราเชื่อถือไม่ค่อยจะได้)
หนังสือเล่มนี้ยังได้วิจารณ์ การสนับสนุนด้านการศึกษา และวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ เรียกได้ว่า แนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ถูกใส่เข้าไปตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญของอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์อย่าง เบนจามิน แฟลงคลิน มีส่วนร่วมในการเขียนขึ้นมา แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นว่า งบประมาณสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์ถูกตัด และถูกนำไปใช้ทางด้านความมั่นคงอย่างไม่สมเหตุสมผล ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์น้อย และมีความเชื่อในวิทยาศาสตร์เทียมจนน่าตกใจ ซึ่งการใช้ความเชื่อนำหน้าเหตุผลนี้สามารถนำไปสู่เหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปรากฏการณ์"ล่าแม่มด"ในยุคกลาง (อ่านถึงตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง The Crucible ขึ้นมาเลย) เผด็จการฟาสซิสม์ และลัทธินาซี
สำหรับผู้ที่สนใจหาคำอธิบายเกี่ยวกับ การตั้งข้อสงสัย คำเล่าลือเกี่ยวกับอสุรกายต่าง ๆ บนโลกใบนี้แบบเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้ติดตามผลงานของ Carl Sagan The Demon-Haunted World เป็นหนังสือแนะนำ สามารถซื้อ kindle format ผ่านเวบ Amazon ได้ แต่ผลข้างเคียงของการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ อาจจะทำให้คุณอ่านนิยายแนวแฟนตาซีสนุกน้อยลง และมองนิยายวิทยาศาสตร์บางเรื่องเป็น pseudoscience ไปเลยก็เป็นได้
Monday, January 31, 2011
เมื่อ Star Wars mashup กับซอมบี้: Star Wars: Death Troopers
กระแสซอมบี้เริ่มเป็นที่รู้จัก นับตั้งแต่ Night of Living Dead ของ George A. Romero เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นต้นมา แล้วก็มีการพัฒนาเป็นรูปแบบต่าง ๆ ในรูปแบบภาพยนตร์ กับหนังสือมาเรื่อย ๆ
นับตั้งแต่ Pride and Prejudice and Zombies ที่เอางานคลาสสิกของ Jane Austen มาผสมกับ zombies genre ก็ดูเหมือนว่า เรื่องของซอมบี้ (และแวมไพร์) จะสามารถเข้าไปแทรกอยู่ในเรื่องราวต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก
ในที่สุด zombies genre ก็ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Star Wars เรียบร้อยแล้ว ด้วยการเปิดตัวของ Star Wars: Death Troopers หนังสือเล่มแรกในชุดนี้
ในห้วงอวกาศที่ใดไม่ระบุ ในช่วงเวลาของจักรวรรดิ ครอบครองโดยจักรพรรดิ Palpatime และ Darth Vader...
ยานขนนักโทษลำหนึ่ง ได้บังเอิญไปพบกับ Star Destroyer ที่ควรจะจุคนได้หลายพัน ลอยแน่นิ่ง พร้อมกับสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ส่งออกมาเป็นระยะ แต่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย
ทีมสำรวจถูกส่งขึ้นไปค้นหาอะไหล่ที่จะนำมาใช้ซ่อมยาน และได้พบกับสิ่งที่ยังคงเหลือรอด ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกเรือ Star Destroyer และเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ที่มี stormtrooper, blaster rifle, X-Wing, TIE fighter เป็นสิ่งประกอบฉาก และมีตัวเอกเป็นซอมบี้ แบบ 28 Days Later (ดุ วิ่งเร็ว ฉลาด น้ำลายยืด) วิ่งไล่ล่าเลือดสาดกระจายตลอดทั้งเล่ม
สำหรับแฟน Star War นั้น ตอน Death Troopers ยังไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักส่วนอื่นมากนัก เพราะเหตุการณ์ถูกจำกัดอยู่บนยานเพียงแค่ 2 ลำ และอาศัยฉาก เรื่องราว และเงื่อนเวลาของ Star Wars เป็นของประกอบเท่านั้น แต่ตัวอย่างบทแรกของ Star Wars: Red Harvest หนังสือเล่มต่อไปในชุดนี้ ทำให้รู้ว่าฝันร้ายกับซอมบี้ในจักรวาล Star Wars เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น.. คราวนี้ งานเข้า ทั้ง Sith และ Jedi เลยทีเดียว
มี trailer ด้วย ดูแล้ว ทำเป็นหนังท่าจะดี
Thursday, June 10, 2010
หนังสือออกใหม่: Dan Ariely, Yan Matel และ Dune
หนังสือออกใหม่ช่วงนี้ มากมาย
The Upside of Irrationality
หนังสือเล่มใหม่ของ Dan Ariely เจ้าของผลงาน Predictably Irrational ที่หยิบเอาการศึกษาเกี่ยวกับ จิตวิทยา และพฤติกรรมของมนุษย์ มาเล่าได้อย่างน่าสนใจ เช่น
เนื้อหาอื่น ๆ สำหรับคนที่สนใจ Predictably Irrational: ช่างคุย Podcast ตอนที่ 135
TED Talk: Dan Ariely asks, Are we in control of our decisions?
น่าสนใจว่าคราวนี้จะมีอะไรให้แปลกใจอีก
The Winds of Dune
ภาคต่อจากมหากาพย์ Dune เป็นเรื่องของ ตระกูล Artreides ที่เกิดขึ้นระหว่างเนื้อเรื่องของ Dune Messiah (Paul Muad'Dib หายสาบสูญไปในทะเลทราย) และ Children of Dune (สองพี่น้อง Leto และ Ghanima Artreides ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองและความเชื่อจนนำไปสู่ต้นกำเนิดของ God Emperor of Dune) เขียนโดยเจ้าของแฟรนไชส์ เจ้าเดิม Brian Herbert และ Kevin J. Anderson
Beatrice and Virgil
โดย Yan Matel คนที่สามารถเขียนเรื่อง Life of Pi เด็กชาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเสือโคร่งกลางทะเล หลังเรือแตกที่แปลกและชวนติดตาม มาคราวนี้ เขียนเกี่ยวกับ ลา ลิง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์.. น่าสนใจตั้งแต่ชื่อคนเขียน
The Upside of Irrationality
หนังสือเล่มใหม่ของ Dan Ariely เจ้าของผลงาน Predictably Irrational ที่หยิบเอาการศึกษาเกี่ยวกับ จิตวิทยา และพฤติกรรมของมนุษย์ มาเล่าได้อย่างน่าสนใจ เช่น
- น้ำอัดลมที่แช่ไว้ในหอพัก มักจะถูกขโมย ในขณะที่เงินจำนวนเท่ากันไม่ถูกขโมย
- เซลล์ขายบ้าน มักพาเราไปดูบ้าน 3 หลัง โดย 2 หลัง มีสภาพคล้ายกัน แต่สภาพแตกต่างกัน และหลังที่ 3 ที่ไม่เข้าพวก นำไปสู่คำแนะนำในการหาเพื่อนไปเที่ยวผับ
- สินบน และสิ่งล่อใจ อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์
เนื้อหาอื่น ๆ สำหรับคนที่สนใจ Predictably Irrational: ช่างคุย Podcast ตอนที่ 135
TED Talk: Dan Ariely asks, Are we in control of our decisions?
น่าสนใจว่าคราวนี้จะมีอะไรให้แปลกใจอีก
The Winds of Dune
ภาคต่อจากมหากาพย์ Dune เป็นเรื่องของ ตระกูล Artreides ที่เกิดขึ้นระหว่างเนื้อเรื่องของ Dune Messiah (Paul Muad'Dib หายสาบสูญไปในทะเลทราย) และ Children of Dune (สองพี่น้อง Leto และ Ghanima Artreides ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองและความเชื่อจนนำไปสู่ต้นกำเนิดของ God Emperor of Dune) เขียนโดยเจ้าของแฟรนไชส์ เจ้าเดิม Brian Herbert และ Kevin J. Anderson
Beatrice and Virgil
โดย Yan Matel คนที่สามารถเขียนเรื่อง Life of Pi เด็กชาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเสือโคร่งกลางทะเล หลังเรือแตกที่แปลกและชวนติดตาม มาคราวนี้ เขียนเกี่ยวกับ ลา ลิง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์.. น่าสนใจตั้งแต่ชื่อคนเขียน
Monday, August 17, 2009
I Am Legend ตำนานที่ถูกผมเข้าใจผิด
ก่อนหน้าที่จะได้ดู I Am Legend ก็เคยได้ยินเสียงวิจารณ์ไปในทางบวกตั้งแต่ตอนที่หนังยังอยู่ในโรงเมื่อ 2 ปีก่อน
สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับหนังก็คือ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์กภายหลังโรคระบาดบางอย่าง และอุตส่าห์ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเพื่อให้สมจริง ฟังแล้วก็เข้าทำนองเลียนแบบ Tom Hanks ใน Castaway แต่เปลี่ยนจากติดเกาะ เป็นอยู่กลางกรุงแทน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่
ความรู้สึกแรกหลังจากดูจบ ก็คือ I Am Legend ก็แค่หนังแนวเดียวกับหนังโรคระบาดที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, Resident Evil ซึ่งสาวไปได้ถึงต้นตำรับหนังแนวซอมบี้ (zombie genre) นำโดยเจ้าของตำนานอย่าง George A. Romero ต้นกำเนิดของหนังตระกูล "The Dead" ทั้งหลาย (Night of Living Dead, Day of the Dead, Dawn of the Dead, Land of the Dead ฯลฯ) ซึ่งริเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี 1968 โน่น
ผมเข้าใจว่า I Am Legend ก็เป็นแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น
ผมเข้าใจผิดมหันต์
I Am Legend ต่างหากที่เป็นต้นตำรับ ของสิ่งที่ผมพิมพ์ไปข้างบนทั้งหมด
I Am Legend เป็นผลงานนวนิยายขนาดไม่ยาวมาก ของ Richard Matheson (เคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้กันไหมครับ?) ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1974 (เป็นอนาคตในตอนที่เขียน) เล่าเรื่องของ Robert Neville มนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรคระบาด ที่ต้องเผชิญกับ "ผู้ติดเชื้อ" (ผู้เขียนเรียกว่าแวมไพร์ ไม่ใช่ ซอมบี้ หรือ Darkseekers หรือ Hemocytes) ที่กลับมาจากโลกของความตายหลังพระอาทิตย์ตกดิน นำไปสู่การค้นพบต้นเหตุของโรคระบาด และลงเอยด้วยบทสรุปที่ไม่เหมือนในภาพยนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงแล้ว ตัวบทประพันธ์ I Am Legend เองก็เคยทำเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ครั้ง ในชื่อ The Last Man on Earth (1964), The Omega Man (1971) และ I am Legend (2007) ดังนั้นในแง่ของต้นกำเนิดแล้ว I Am Legend ของ Richard Matheson เกิดก่อน และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ของ George A. Romero ซึ่งสร้าง Night of Living Dead ภาคแรกออกมาหลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี จนกลายมาเป็น"แนวซอมบี้"ในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Stephen King ก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจาก I Am Legend ในงานเขียนเรื่อง Cell (แต่ผมคิดว่า เรื่องของแวมไพร์อย่าง Salem's Lot ก็มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่ไม่น้อย) เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ Richard Matheson ก็ได้รับความนิยมในขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นตำนานของวงการเรื่องสยองขวัญคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ยังไม่หมด
จากการค้นเจอข้อมูลของ Richard Matheson ยังนำผมไปสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง เช่น Stir of Echoes (หนังสยองขวัญ - Kevin Bacon นำแสดง), What Dreams May Come (romantic - Robin Williams) และ Somewhere in Time (อ่านไม่ผิดครับ! หนัง romantic อมตะที่นำแสดงโดย Christopher Reeve นั่นล่ะ) ก็เป็นผลงานของ Richard Matheson!
ยังไม่นับถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ ตอนของ Twilight zone series อีกด้วย
สำหรับหนังสือ I Am Legend ที่ผมได้มานี่เป็นเวอร์ชันหน้าปก Will Smith ในภาพยนตร์ ข้างใน มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องต่อท้ายมาด้วย บางเรื่องอ่านแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดอีกบางเรื่อง อย่างเช่น Prey (ไม่บอกว่าเหมือนเรื่องอะไร ลองอ่านดู) และเรื่องขนาดสั้นมากชนิด 3 หน้าจบ แต่เล่นเอาลืมไม่ลงอย่าง The Near Departed
สุดท้ายเอาวิดีโอสัมภาษณ์ Richard Matheson เกี่ยวกับผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีเหน็บ I Am Legend เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนท้ายนิด ๆ ด้วย
Links ที่น่าสนใจ
สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับหนังก็คือ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์กภายหลังโรคระบาดบางอย่าง และอุตส่าห์ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเพื่อให้สมจริง ฟังแล้วก็เข้าทำนองเลียนแบบ Tom Hanks ใน Castaway แต่เปลี่ยนจากติดเกาะ เป็นอยู่กลางกรุงแทน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่
ความรู้สึกแรกหลังจากดูจบ ก็คือ I Am Legend ก็แค่หนังแนวเดียวกับหนังโรคระบาดที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, Resident Evil ซึ่งสาวไปได้ถึงต้นตำรับหนังแนวซอมบี้ (zombie genre) นำโดยเจ้าของตำนานอย่าง George A. Romero ต้นกำเนิดของหนังตระกูล "The Dead" ทั้งหลาย (Night of Living Dead, Day of the Dead, Dawn of the Dead, Land of the Dead ฯลฯ) ซึ่งริเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี 1968 โน่น
ผมเข้าใจว่า I Am Legend ก็เป็นแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น
ผมเข้าใจผิดมหันต์
I Am Legend ต่างหากที่เป็นต้นตำรับ ของสิ่งที่ผมพิมพ์ไปข้างบนทั้งหมด
I Am Legend เป็นผลงานนวนิยายขนาดไม่ยาวมาก ของ Richard Matheson (เคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้กันไหมครับ?) ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1974 (เป็นอนาคตในตอนที่เขียน) เล่าเรื่องของ Robert Neville มนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรคระบาด ที่ต้องเผชิญกับ "ผู้ติดเชื้อ" (ผู้เขียนเรียกว่าแวมไพร์ ไม่ใช่ ซอมบี้ หรือ Darkseekers หรือ Hemocytes) ที่กลับมาจากโลกของความตายหลังพระอาทิตย์ตกดิน นำไปสู่การค้นพบต้นเหตุของโรคระบาด และลงเอยด้วยบทสรุปที่ไม่เหมือนในภาพยนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงแล้ว ตัวบทประพันธ์ I Am Legend เองก็เคยทำเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ครั้ง ในชื่อ The Last Man on Earth (1964), The Omega Man (1971) และ I am Legend (2007) ดังนั้นในแง่ของต้นกำเนิดแล้ว I Am Legend ของ Richard Matheson เกิดก่อน และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ของ George A. Romero ซึ่งสร้าง Night of Living Dead ภาคแรกออกมาหลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี จนกลายมาเป็น"แนวซอมบี้"ในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Stephen King ก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจาก I Am Legend ในงานเขียนเรื่อง Cell (แต่ผมคิดว่า เรื่องของแวมไพร์อย่าง Salem's Lot ก็มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่ไม่น้อย) เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ Richard Matheson ก็ได้รับความนิยมในขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นตำนานของวงการเรื่องสยองขวัญคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ยังไม่หมด
จากการค้นเจอข้อมูลของ Richard Matheson ยังนำผมไปสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง เช่น Stir of Echoes (หนังสยองขวัญ - Kevin Bacon นำแสดง), What Dreams May Come (romantic - Robin Williams) และ Somewhere in Time (อ่านไม่ผิดครับ! หนัง romantic อมตะที่นำแสดงโดย Christopher Reeve นั่นล่ะ) ก็เป็นผลงานของ Richard Matheson!
ยังไม่นับถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ ตอนของ Twilight zone series อีกด้วย
สำหรับหนังสือ I Am Legend ที่ผมได้มานี่เป็นเวอร์ชันหน้าปก Will Smith ในภาพยนตร์ ข้างใน มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องต่อท้ายมาด้วย บางเรื่องอ่านแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดอีกบางเรื่อง อย่างเช่น Prey (ไม่บอกว่าเหมือนเรื่องอะไร ลองอ่านดู) และเรื่องขนาดสั้นมากชนิด 3 หน้าจบ แต่เล่นเอาลืมไม่ลงอย่าง The Near Departed
สุดท้ายเอาวิดีโอสัมภาษณ์ Richard Matheson เกี่ยวกับผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีเหน็บ I Am Legend เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนท้ายนิด ๆ ด้วย
Links ที่น่าสนใจ
Saturday, July 18, 2009
Ender's Shadows: Ender's Game ที่ไม่ใช่ของ Ender คนเดียวอีกต่อไป
จากผลงานอมตะของ Orson Scott Card Ender's Game (1985) ที่เป็นเรื่องราวสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่มีวิวัฒนาการมาจากแมลง (Buggers - ฉบับภาษาไทยใช้คำว่า "แมง"?) มนุษย์สามารถรักษาโลกเอาไว้ได้แบบฉิวเฉียด โดยกองกำลังพิเศษที่ถูกคัดมาจากเด็กที่มีพรสวรรค์ทั้งหลาย ภายใต้การนำของ Andrew Wiggins หรือ Ender
นั่นเป็นเรื่องราวของ Ender's Game
14 ปีต่อมา Orson Scott Card ได้นำเรื่องราวของ Ender's Game มาปัดฝุ่นใหม่ ผ่านมุมมองของเพื่อนร่วมทีมที่มีอายุน้อยที่สุดใน Battle School ซึ่งกลายมาเป็นสหายร่วมรบมือขวาของ Ender ที่รู้จักกันในขื่อ "Bean"
มาคราวนี้ Ender's Shadow (1999) เล่าความเป็นมาของ Bean จากเด็กเร่ร่อนในเมือง Rotterdam ที่ต้องใช้ไหวพริบในการเอาชีวิตรอดบนท้องถนน ก่อนที่จะถูกคัดเลือกเข้ามาใน Battle School ด้วยความฉลาดเกินวัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Ender's Game แต่เนื้อเรื่องเดิมได้ถูกดำเนินไปในมุมมองของ Bean และมีรายละเอียดที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ใน Ender's Game อยู่ด้วย ซึ่งการเข้ามาใน Battle School ของ Bean นี้เอง นำไปสู่การเปิดโปงความเป็นมาที่แท้จริงของตัวเขาเอง ซึ่งส่งผลให้ Bean เปลี่ยนมุมมองต่อตัวของเขาเอง และมนุษยชาติตลอดไป
แน่นอนว่าเรื่องราวของ Bean ยังดำเนินต่อไป หลังจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกหลังจากที่สงครามกับพวก Buggers จบลง เส้นทางของ Bean และ Ender จะไม่มาบรรจบกันอีก และยุคของ Hegemon ที่นำโดย Peter Wiggins เพิ่งจะเริ่มต้น และแน่นอน สงครามยังไม่จบ
"Ender's war is over," he thought. "This next one will be mine."
นั่นเป็นเรื่องราวของ Ender's Game
14 ปีต่อมา Orson Scott Card ได้นำเรื่องราวของ Ender's Game มาปัดฝุ่นใหม่ ผ่านมุมมองของเพื่อนร่วมทีมที่มีอายุน้อยที่สุดใน Battle School ซึ่งกลายมาเป็นสหายร่วมรบมือขวาของ Ender ที่รู้จักกันในขื่อ "Bean"
มาคราวนี้ Ender's Shadow (1999) เล่าความเป็นมาของ Bean จากเด็กเร่ร่อนในเมือง Rotterdam ที่ต้องใช้ไหวพริบในการเอาชีวิตรอดบนท้องถนน ก่อนที่จะถูกคัดเลือกเข้ามาใน Battle School ด้วยความฉลาดเกินวัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Ender's Game แต่เนื้อเรื่องเดิมได้ถูกดำเนินไปในมุมมองของ Bean และมีรายละเอียดที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ใน Ender's Game อยู่ด้วย ซึ่งการเข้ามาใน Battle School ของ Bean นี้เอง นำไปสู่การเปิดโปงความเป็นมาที่แท้จริงของตัวเขาเอง ซึ่งส่งผลให้ Bean เปลี่ยนมุมมองต่อตัวของเขาเอง และมนุษยชาติตลอดไป
แน่นอนว่าเรื่องราวของ Bean ยังดำเนินต่อไป หลังจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกหลังจากที่สงครามกับพวก Buggers จบลง เส้นทางของ Bean และ Ender จะไม่มาบรรจบกันอีก และยุคของ Hegemon ที่นำโดย Peter Wiggins เพิ่งจะเริ่มต้น และแน่นอน สงครามยังไม่จบ
"Ender's war is over," he thought. "This next one will be mine."
Wednesday, July 08, 2009
Stephen King's Salem's Lot
Salem's Lot เป็นผลงานของ Stephen King ที่เขียนขึ้นในช่วง ปี 1976 เป็นเรื่องราวของเมืองเล็ก ๆ ในรัฐ Maine ที่กลายสภาพเข้าสู่เมืองร้างโดยที่ไม่มีคนภายนอกให้ความสนใจ แต่ภายในความเงียบของเมืองนี้ มีที่มาจากการมาของบุคคลภายนอก 2 คน ซึ่งได้นำเอาความน่าสะพรึงกลัวติดตามมาด้วย
ความสยองขวัญของเนื้อเรื่องอยู่ที่การที่เมืองค่อย ๆ เปลี่ยนจากเมืองธรรมดาให้ตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของสิ่งมีชีวิตที่มาจากความมืด และการเผชิญหน้ากับวัยเด็กที่น่าสะพรึงกลัวของตนเองของตัวเอกในเรื่อง นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างเขา กับ มัน โดยดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกสยองแบบคลาสสิกของ Bram Stoker's Dracula และเรื่องการมาของปีศาจที่มาพร้อมกับร้านขายของแบบ The Needful Things
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Salem's Lot ก็คือ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของนักบวชที่ชื่อ หลวงพ่อ Callahan ที่ไปปรากฏตัวใน The Dark Tower series ในช่วงตั้งแต่ Wolves of Calla ซึ่งเป็นเล่มที่ 5 เป็นต้นไป ที่ถูกเขียนขึ้นในอีก 20 กว่าปีต่อมา ในต่างเวลา และสถานที่ (มิติ?)
อ่านแล้วคงต้องกลับไปดู Bram Stoker's Dracula ของ Stanley Kubrick อีกสักรอบ หรือไม่ก็รอดู Daybreakers น่าจะดี
ความสยองขวัญของเนื้อเรื่องอยู่ที่การที่เมืองค่อย ๆ เปลี่ยนจากเมืองธรรมดาให้ตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของสิ่งมีชีวิตที่มาจากความมืด และการเผชิญหน้ากับวัยเด็กที่น่าสะพรึงกลัวของตนเองของตัวเอกในเรื่อง นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างเขา กับ มัน โดยดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกสยองแบบคลาสสิกของ Bram Stoker's Dracula และเรื่องการมาของปีศาจที่มาพร้อมกับร้านขายของแบบ The Needful Things
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Salem's Lot ก็คือ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของนักบวชที่ชื่อ หลวงพ่อ Callahan ที่ไปปรากฏตัวใน The Dark Tower series ในช่วงตั้งแต่ Wolves of Calla ซึ่งเป็นเล่มที่ 5 เป็นต้นไป ที่ถูกเขียนขึ้นในอีก 20 กว่าปีต่อมา ในต่างเวลา และสถานที่ (มิติ?)
อ่านแล้วคงต้องกลับไปดู Bram Stoker's Dracula ของ Stanley Kubrick อีกสักรอบ หรือไม่ก็รอดู Daybreakers น่าจะดี
Wednesday, March 18, 2009
Star wars: Jedi Twilight -- ยุคมืดของเจไดในเงื้อมมือของจักรวรรดิ
สถานการณ์ของกาแล็คซีหลังการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ Chancellor Palpatine โดยมี Anakin Skywalker ที่แปรสภาพไปเป็น Darth Vader เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การกวาดล้างอัศวินเจได ภายใต้คำสั่งหมายเลข 66 (Order 66) ก็ยังคงดำเนินต่อไป บรรดาอัศวินเจได ที่ยังหลงเหลืออยู่ต่างก็หนีหัวซุกหัวซุนให้พ้นจากเงื้อมมือของ Darth Vader ไปคนละทิศละทาง
Jedi Twilight เป็นเล่มแรกในซีรีย์ Coruscant Nights เล่าถึงการเสี่ยงชีวิตปฏิบัติภารกิจของ "Jax Pavan" เจไดหนุ่ม เพื่อนร่วมรุ่น Padawan มากับ Anakin Skywalker ลูกศิษย์ของ Even Piell บนดาว Coruscant ที่เป็นศูนย์กลางของกาแล็คซี และเป็นอดีตที่ตั้งของ Jedi Council ที่ดูเหมือนว่า อัศวินเจไดทั้งหลายจะถูกกวาดล้างจนสิ้นซากไปแล้ว ภายใต้เงามืดของตึกสูงระฟ้าบนดาวมหานครที่แม้แต่เงื้อมมือของจักรวรรดิก็ยังไม่สามารถเอื้อมไปถึง ด้วยการยึดอาชีพของนักล่าค่าหัว ให้ก้บกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ บังหน้า ไปพร้อม ๆ กับการเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของ Darth Vader ที่ดูเหมือนจะตั้งใจ "จับเป็น" เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่ยังไม่ปรากฏชัด ในรูปแบบของแมวไล่จับหนู
นอกจากเป็นการแนะนำตัวเอกใหม่สำหรับซีรีย์แล้ว เนื้อเรื่องก็ยังกล่าวเกี่ยวพันไปถึงความเป็นมาของ Prince Xizor ดาวเด่นในแวดวงอาชญากร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจในซีรีย์ Shadows of the Empire และการแนะนำ class ใหม่ของเจได อย่าง Jedi Paladin ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธสารพัดรูปแบบ รวมไปถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นอกเหนือไปจากการใช้ light saber ตามแบบฉบับของ Jedi Knight ทั่วไป
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Michael Raeves ที่เคยสร้างชื่อจากการเป็น coauthor ของ Star wars: Death Star มาแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับประสบการณ์ของหนังสือเล่มนี้ คนที่ชอบฉากแสงสีตื่นตายามราตรีในเมืองที่ไม่เคยหลับแบบที่ปรากฏใน Blade Runner คงจะพอช่วยคลายเหงาไปได้บ้าง แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับคนที่คาดหวังที่จะได้อ่าน ฉากนักสืบสวมเสื้อโค้ทตัวโคร่ง ยืนอยู่ใต้แสงไฟสลัว อย่างคำโปรยโฆษณาที่ปรากฏบนปกหลังของหนังสือ ที่ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาข้างในสักเท่าไหร่
Jedi Twilight เป็นเล่มแรกในซีรีย์ Coruscant Nights เล่าถึงการเสี่ยงชีวิตปฏิบัติภารกิจของ "Jax Pavan" เจไดหนุ่ม เพื่อนร่วมรุ่น Padawan มากับ Anakin Skywalker ลูกศิษย์ของ Even Piell บนดาว Coruscant ที่เป็นศูนย์กลางของกาแล็คซี และเป็นอดีตที่ตั้งของ Jedi Council ที่ดูเหมือนว่า อัศวินเจไดทั้งหลายจะถูกกวาดล้างจนสิ้นซากไปแล้ว ภายใต้เงามืดของตึกสูงระฟ้าบนดาวมหานครที่แม้แต่เงื้อมมือของจักรวรรดิก็ยังไม่สามารถเอื้อมไปถึง ด้วยการยึดอาชีพของนักล่าค่าหัว ให้ก้บกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ บังหน้า ไปพร้อม ๆ กับการเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของ Darth Vader ที่ดูเหมือนจะตั้งใจ "จับเป็น" เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่ยังไม่ปรากฏชัด ในรูปแบบของแมวไล่จับหนู
นอกจากเป็นการแนะนำตัวเอกใหม่สำหรับซีรีย์แล้ว เนื้อเรื่องก็ยังกล่าวเกี่ยวพันไปถึงความเป็นมาของ Prince Xizor ดาวเด่นในแวดวงอาชญากร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจในซีรีย์ Shadows of the Empire และการแนะนำ class ใหม่ของเจได อย่าง Jedi Paladin ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธสารพัดรูปแบบ รวมไปถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นอกเหนือไปจากการใช้ light saber ตามแบบฉบับของ Jedi Knight ทั่วไป
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Michael Raeves ที่เคยสร้างชื่อจากการเป็น coauthor ของ Star wars: Death Star มาแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับประสบการณ์ของหนังสือเล่มนี้ คนที่ชอบฉากแสงสีตื่นตายามราตรีในเมืองที่ไม่เคยหลับแบบที่ปรากฏใน Blade Runner คงจะพอช่วยคลายเหงาไปได้บ้าง แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับคนที่คาดหวังที่จะได้อ่าน ฉากนักสืบสวมเสื้อโค้ทตัวโคร่ง ยืนอยู่ใต้แสงไฟสลัว อย่างคำโปรยโฆษณาที่ปรากฏบนปกหลังของหนังสือ ที่ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาข้างในสักเท่าไหร่
Sunday, January 18, 2009
The Last Days of Krypton ตำนาน Superhero ที่ไม่มี Superhero
นับตั้งแต่ Superman ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 พร้อมก้บตำนานของทารกจากดาว Krypton ที่ถูกจับใส่ในยานอวกาศ มายังโลกตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ และเติบโตขึ้นบนโลกมนุษย์พร้อมกับความสามารถพิเศษ ที่กลายมาเป็นฉายา "The Last Son of Krypton" และ "The Man of Steel" ตำนานความเป็นมาของดาว Krypton ยังคงเป็นปริศนามาตลอด
The Last Days of Krypton เป็นเรื่องราวของผู้คนบนดาว Krypton ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ดาว Krypton จะถึงกาลอวสาน ซึ่งบ้างก็ว่าถูกอุกกาบาตพุ่งชน บ้างก็ว่าเกิดจากการระเบิดของ supernova ของระบบสุริยะนั้น บ้างก็ว่าเป็นจากภูเขาไฟระเบิด บ้างก็ว่าถูกทำลายจากสงครามของผู้คนบนดาวดวงนั้นเอง บุคคลที่ทำหน้าที่ดำเนินเรื่องคือ Jor-El พ่อของ Kal-El (ก็คือ Clark Kent หรือ Superman ในเวลาต่อมา) นักวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งของดาว Krypton และ Genereal Zod ซึ่งกลายมาเป็นคู่ปรับตลอดกาลของ Superman ในเวลาต่อมา แม้ว่าดาว Krypton จะไม่คงอยู่แล้วก็ตาม
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Kevin J. Anderson อีก 1 ตำนานของนิยายวิทยาศาสตร์ ที่มีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาล Science fiction ในตำนาน อย่าง Dune prequels และ Sequels และ Starwars มาแล้ว เล่าถึงความขัดแยังทางด้านการเมืองของชาว Krypton และภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวาระสุดท้ายของดาว Krypton ซึ่งเป็นที่มาของการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ General Zod
แม้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตำนานของ Superhero ก็ตาม แต่บุคคลที่ปรากฏในเรื่องนี้ไม่มีใครที่มีพลังเหนือคนธรรมดา แต่เป็น Science fiction ที่เล่าถึงความเป็นมาของผู้คนบนดาว Krypton โดยมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนดความเป็นไป แต่ก็ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไขว่คว้าหาอำนาจในขณะเดียวกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่เป็น Sci-fi หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงสำหรับสาวกของ Superman เท่านั้น แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปอีกด้วย
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกเราก็คือ ความทะเยอทะยานของคนสามารถนำความวิบัติมาสู่สังคมได้อย่างน่าคิด แต่ก็ยังมีสิ่งที่สามารถทำความเสียหายได้ยิ่งใหญ่กว่าอย่างคาดไม่ถึง
The Last Days of Krypton เป็นเรื่องราวของผู้คนบนดาว Krypton ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ดาว Krypton จะถึงกาลอวสาน ซึ่งบ้างก็ว่าถูกอุกกาบาตพุ่งชน บ้างก็ว่าเกิดจากการระเบิดของ supernova ของระบบสุริยะนั้น บ้างก็ว่าเป็นจากภูเขาไฟระเบิด บ้างก็ว่าถูกทำลายจากสงครามของผู้คนบนดาวดวงนั้นเอง บุคคลที่ทำหน้าที่ดำเนินเรื่องคือ Jor-El พ่อของ Kal-El (ก็คือ Clark Kent หรือ Superman ในเวลาต่อมา) นักวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งของดาว Krypton และ Genereal Zod ซึ่งกลายมาเป็นคู่ปรับตลอดกาลของ Superman ในเวลาต่อมา แม้ว่าดาว Krypton จะไม่คงอยู่แล้วก็ตาม
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Kevin J. Anderson อีก 1 ตำนานของนิยายวิทยาศาสตร์ ที่มีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาล Science fiction ในตำนาน อย่าง Dune prequels และ Sequels และ Starwars มาแล้ว เล่าถึงความขัดแยังทางด้านการเมืองของชาว Krypton และภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวาระสุดท้ายของดาว Krypton ซึ่งเป็นที่มาของการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ General Zod
แม้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตำนานของ Superhero ก็ตาม แต่บุคคลที่ปรากฏในเรื่องนี้ไม่มีใครที่มีพลังเหนือคนธรรมดา แต่เป็น Science fiction ที่เล่าถึงความเป็นมาของผู้คนบนดาว Krypton โดยมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนดความเป็นไป แต่ก็ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไขว่คว้าหาอำนาจในขณะเดียวกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่เป็น Sci-fi หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงสำหรับสาวกของ Superman เท่านั้น แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปอีกด้วย
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกเราก็คือ ความทะเยอทะยานของคนสามารถนำความวิบัติมาสู่สังคมได้อย่างน่าคิด แต่ก็ยังมีสิ่งที่สามารถทำความเสียหายได้ยิ่งใหญ่กว่าอย่างคาดไม่ถึง
Subscribe to:
Posts (Atom)