Showing posts with label health. Show all posts
Showing posts with label health. Show all posts

Saturday, January 14, 2012

อีก 1 เหตุ ของความล้มเหลวในการลดน้ำหนัก

  • 1 ในหน้าที่ของสมองส่วน hypothalamus คือควบคุมความรู้สึกหิว ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต hypothalamus จึงเป็นตัวที่ช่วยบอกว่า น้ำหนักตัวที่เหมาะสม ควรเป็นเท่าไหร่
  • จากการทดลอง หนู และอาสาสมัครที่มีน้ำหนักเกิน พบการเปลี่ยนแปลงของ hypothalamus ซึ่งคาดกันว่า ทำให้มีการกำหนด'น้ำหนักตัวที่เหมาะสม'มากเกินกว่าปกติ
  • การที่น้ำหนักตัวที่เหมาะสมถูกสั่งโดยสมองนี้ อาจเป็นเหตุผลของ yoyo effect เพราะสมองจะสั่งให้ทำน้ำหนักกลับมาเท่าเดิมในที่สุด.. แม้ว่าเราจะยังควบคุมอาหารอยู่ก็ตาม (!!!)
  • ตอนนี้ ยังบอกไม่ได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงของ hypothalamus ที่ถูกพบนี้ สามารถกลับคืนเป็นปกติได้หรือไม่ แต่เราเริ่มจะรู้แล้วว่า การคุมอาหารเพียงอย่างเดียว เพื่อลดน้ำหนัก คงจะไม่พอเสียแล้ว

via HealthLand

Thursday, August 07, 2008

การผ่าท้องคลอด อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหอบหืดในเด็ก

นักวิทยาศาสตร์จาก University of California ได้รายงานถึงการค้นพบ ความแตกต่างของระบบภูมิคุ้มกันที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ในช่วงแรกเกิด โดยทำการตรวจตัวอย่างเลือดที่ได้จากสายสะดือเด็กแรกเกิดโดยวิธีผ่าท้องคลอด (Cesarean section) จำนวน 50 คน และเด็กที่ตลอดโดยวิธีธรรมชาติ 68 คน โดยเด็กทั้งหมด มีพ่อ หรือแม่คนใดคนหนึ่งมีประวัติของโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด พบว่า เด็กที่คลอดโดยวิธีผ่าท้องคลอด มีจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด regulatory T-cells น้อยกว่า และมีระดับของสารในระบบภูมิคุ้มกันอย่าง Interleukin-4 และ Interleukin-13 มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่คลอดโดยวิธีธรรมชาติ

โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า ระดับของ Interleukin-13 ในเลือด ที่เพิ่มขึ้น มีความสำคัญต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ และผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และหอบหืดส่วนหนึ่งเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดเลือดขาวชนิด regulatory T-cells

จากการค้นพบนี้คณะผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานว่า วิธีการคลอดมีผลต่อปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นคำอธิบายของการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการผ่าท้องคลอดกับโรค หอบหืดซึ่งมีการค้นพบมาก่อนหน้านี้

ที่มา Physorg,

Monday, August 04, 2008

ไต้หวันค้นพบกลไกของไวรัสไข้เลือดออก ที่อาจเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยช็อค

ตามความรู้เดิมที่มีอยู่คือ เชื้อ dengue virus ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกนั้นมี 4 สายพันธุ์ด้วยกัน และไข้เลือดออกนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปเป็นครั้ง ที่ 2 (secondary infection) ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าเกิดจากการกระตุ้นสาร cytokines ที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมากเกินไป

ทีมนักวิจัยจากไต้หวัน จาก National Yang-Ming University ค้นพบกลไกที่เชื่อว่ามีส่วนทำให้เชื้อ dengue virus ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการของไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever) และช็อค (dengue shock syndrome) ขึ้นผ่านทางปฏิกิริยาระหว่างตัวเชื้อไวรัสเอง กับโมเลกุลที่มีชื่อว่า CLEC5A ที่อยู่บนเซลล์เม็ดเลือดขาว

จากการทดลองให้การรักษาหนูที่ติดเชื้อ dengue virus ด้วย antibodies ที่ขัดขวางการจับกันระหว่างเชื้อ dengue virus กับ CLEC5A พบว่าสามารถลดกลไกการกระตุ้นอาการอักเสบได้ แต่ก็ยังมีการอักเสบที่เกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นตามปกติอยู่

แม้ว่าการค้นพบนี้จะเป็นเพียงการทดลองในสัตว์ทดลองก็ตาม แต่ก็เป็นการเปิดทางให้กับการคิดค้นวิธีการรักษาโรคไข้เลือดออก เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไข้เลือดออกนี้ต่อไป

ปัจจุบันมีผู้ป่วยไข้เลือดออกที่เสียชีวิต 24,000 คน จาก 50 ล้านคน ต่อปี

ที่มา Physorg

Friday, August 01, 2008

ความพยายามของมนุษย์ในการค้นหาสารที่มีคุณสมบัติทดแทนเม็ดเลือดแดงเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

วารสารทางการแพทย์ Journal of Trauma เดือนมิถุนายน ได้ตีพิมพ์เกี่ยวกับผลการใช้สารทดแทนเลือด ในระยะที่ 3 (Phase III) เป็นครั้งแรก

การทดลองนี้ นำโดย UCLA ทำการเปรียบเทียบการใช้สารทดแทนเลือด กับเลือดปกติที่ได้จากการบริจาค ในประเทศสหรัฐอเมริกา อัฟริกาใต้ และทวีปยุโรป เป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยมีผู้ป่วยเข้าร่วมในการวิจัยนี้เป็นจำนวน 688 คน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedic surgery) และจำเป็นต้องได้รับเลือด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับเลือดตามปกติ 358 คน และกลุ่มที่ได้รับสารทดแทนเลือดนี้ 350 คน

สารทดแทนเลือด ที่มีชื่อว่า HBOC-201 นี้ ผลิตโดยบริษัท Biopure Corporation โดยทำการสกัดจากวัว ข้อดีของ HBOC-201 นี้คือ สามารถเก็บไว้ได้ 3 ปีที่อุณหภูมิห้อง และไม่จำเป็นต้องทำการตรวจความเข้ากันได้กับเลือดของผู้ป่วย (cross-matched)

การวิจัยครั้งนี้พบว่า การใช้ HBOC-201 สามารถลดความจำเป็นในการใช้เลือดลงได้ 59% โดยที่สามารถให้ผลการรักษาที่ดีได้ ในกลุ่มคนไข้ที่มีอายุน้อยกว่า 80 ปี

ส่วนผลข้างเคียงนั้น พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับ HBOC-201 (5%) เทียบกับ ผู้ป่วยที่ได้รับเลือด (3%) ในกลุ่มที่ต้องการเลือดปริมาณมาก (ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ) ส่วนความผิดปกติอื่น ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายที่พบก็คือ สีผิวมีการเปลี่ยนแปลง ความดันเลือดสูงขึ้น และความผิดปกติของเอนไซม์ในเลือดบางชนิด

จากผลวิจัยนี้ ผู้วิจัยมีความเห็นว่า HBOC-201 นี้มีประโยชน์ในกรณีที่ไม่สามารถให้เลือดกับผู้ป่วยได้ เนื่องจากภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และผู้นับถือบางศาสนาที่ไม่สามารถรับเลือดจากผู้อื่นได้

ความพยายามในการคิดค้นสารทดแทนเลือด เกิดขึ้นจากความขาดแคลนเลือดในการใช้รักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่มา Journal of Trauma, Physorg

Wednesday, July 23, 2008

ออสเตรเลียทำสถิติคนอ้วน แข่งกับอเมริกา

จากการสำรวจโดย Baker Heart Institute ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในออสเตรเลียเมื่อปี 2005 พบว่า 70% ของผู้ชาย และ 60% ของผู้หญิงที่มีอายุในช่วง 45-65 ปี มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) มากกว่าหรือเท่ากับ 25 (>25 = น้ำหนักเกิน, >30 = โรคอ้วน) ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าในอนาคตจะมีจำนวนผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคที่เกิดจาก ความอ้วน ทั้งโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเข่าเสื่อม นี้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

จากรายงานนี้ทำให้มีการรณรงค์ให้มีการลดน้ำหนักในระดับชาติ และให้งบประมาณสนับสนุนสำหรับสถานที่ออกกำลังกายอีกด้วย

ไม่รู้ว่าต่อไป จะมีประเทศในทวีปเอเชียเข้าแข่งกับเขาด้วยหรือเปล่า

ที่มา Physorg

Thursday, July 17, 2008

เด็กอยู่ฟาร์ม ลดโอกาสเป็นโรคหอบหืด

เด็กที่อาศัยอยู่ในฟาร์ม มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหอบหืดน้อยกว่า เด็กที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบอื่น ๆ เช่น แถบที่อยู่อาศัย ในเมือง หรือแม้แต่ เมืองชนบท

จากการสำรวจเด็กที่ไม่เป็นโรคหอบหืด ที่อายุน้อยกว่า 12 ปี จำนวน 13,524 คน ของ Canadian National Longitudinal Survey of Children and Youth (NLSCY) ที่ตีพิมพ์ลงใน Journal Respirology พบว่า อุบัติการณ์สะสมของการเกิดโรคหอบหืดของเด็กที่อยู่ในฟาร์ม มีเพียง 2.3% เมื่อเทียบกับ 5.3% ในกลุ่มที่อาศัยอยู่ชานเมือง และ 5.7% ในกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเมือง

จากการค้นพบนี้ ทำให้ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานว่า สิ่งแวดล้อมแบบฟาร์มส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบางอย่างที่ส่งผลลด กลไลการอักเสบที่ทำให้เกิดโรคหอบหืดลงได้

ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการศึกษาในทำนองเดียวกันที่ประเทศออสเตรียเมื่อหลายปีก่อน

แต่เนื่องจากการศึกษานี้มีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่เต็มไปหมด ทำให้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าให้ย้ายครอบครัวไปอยู่ในฟาร์ม

ที่มา BBC News, BBC News

Friday, July 04, 2008

กล้องอัตโนมัติตรวจจับการฝ่าไฟแดง (Red Light Camera): ใครได้ประโยชน์?

วันนี้ได้ยินข่าวในโทรทัศน์ว่า กำลังจะมีการนำเอากล้องอัตโนมัติสำหรับตรวจจับการขับรถฝ่าไฟแดง (Red Light Camera) แบบที่ใช้ในต่างประเทศมาใช้ในสี่แยกหลาย ๆ จุดทั่วกรุงเทพฯ แล้วก็ทำการส่งภาพถ่ายทะเบียนรถไปยังเจ้าของรถเพื่อเก็บค่าปรับครับ ดู ๆ ไปก็น่าจะมีประโยชน์ดี คนฝ่าไฟแดงน้อยลง มิใช่หรือ???

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสอ่านการวิจัยของ Florida Public Health Review ที่เพิ่งออกมาใหม่ เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการใช้ Red Light Camera ในรัฐฟลอริด้า รวมทั้งในที่อื่น ๆ ด้วย

ผลสรุปออกมาค่อนข้างน่าตกใจว่า
การใช้ Red Light Camera นั้นมีผลทำให้ เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น โดย
เพิ่มอุบัติการณ์ของอุบัติเหตุชนกันมากขึ้น 16-40%
การชนกันด้านข้าง (angle crashes) เพิ่มขึ้น 20%
การชนท้าย (rear crashes) เพิ่มขึ้น 42%

สาเหตุที่อุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยได้ให้เหตุผลว่า
คนขับเหยียบเบรคกะทันหัน เพราะไม่อยากเสียค่าปรับ (คันหลังเบรคไม่ทัน - ชน)
ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งปฏิกิริยาการตอบสนองไม่เร็วเท่ากับคนอายุน้อย

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมรัฐผู้ออกกฎระเบียบยังมีความต้องการนำ Red Light Camera มาใช้อยู่ ผู้วิจัยให้เหตุผลว่า รัฐรวยขึ้น จากการได้เงินค่าปรับมากขึ้น เพราะการฝ่าไฟแดงส่วนใหญ่ (เกือบ 80%) เกิดขึ้นในช่วงวินาทีแรกหลังการเปลี่ยนเป็นไฟแดง ซึ่งตาเปล่ามองไม่เห็น - ต้องตัดสินด้วยภาพถ่าย ตัวอย่างใน San Diego, California เก็บเงินจาก Red Light Camera ได้ $18 ล้าน ในเวลา 18 เดือน จนมีการนำไปสู่การกล่าวหาว่ามีการลดช่วงเวลาของไฟเหลืองลง เพื่อให้คนฝ่าไฟแดง (ผ่าแปด) มากขึ้น ในขณะเดียวกันการเก็บตัวเลขฝ่ายรัฐก็สามารถประกาศได้ว่า การฝ่าไฟแดงลดลง แต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นที่อู่ซ่อมรถ โรงพยาบาล และบริษัทเช่ารถ ไม่ได้ถูกนำมาคำนวณ

บริษัทประกันก็สนับสนุนการใช้ Red Light Camera ทั้ง ๆ ที่ทำให้มีอุบัติเหตุมากขึ้น เพราะว่า ถ้าอุบัติเหตุเกิดน้อยก็เก็บเบี้ยประกันภัยได้น้อย ยิ่งอุบัติเหตุเยอะ ยิ่งเก็บเบี้ยได้แพง

ในงานนี้ผู้วิจัยได้สรุปว่า การที่จะลดอุบัติเหตุได้ในระยะยาวนั้น ควรจะเป็นการแก้ไขด้านวิศวกรรมมากกว่า โดยเสนอแนะให้
พัฒนาความชัดเจนของระบบไฟจราจร สิ่งกีดขวางสายตา (อันนี้ กทม. ทำแล้ว -- อัจฉริยะ!)
ดูทิศทางของแสงแดดที่จะส่องเข้าตาผู้ขับขี่
กำหนดระยะเวลาของไฟเหลืองให้เหมาะสม (ไม่สั้นจนเกินไป)
เพิ่มช่วงเวลาหยุดพักสั้น ๆ หลังขึ้นไฟแดง
ป้ายเตือนบอกทางแยก
กำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนไฟจราจรให้เหมาะสมกับสภาพจราจร

หลังจากที่ทำสิ่งเหล่านี้แล้วค่อยนำ Red Light Camera มาใช้ "ประกอบ" การพิจารณา

ไม่รู้ว่ามีผู้ใหญ่ในบ้านเราอ่าน blognone บ้างหรือเปล่า

ที่มา
ตามไปอ่านฉบับเต็มที่นี่: Red Light Running Cameras: Would Crashes, Injuries and Automobile Insurance Rates Increase If They Are Used in Florida? (pdf)

Wednesday, July 02, 2008

เคล็ดลับของการคุมน้ำหนัก: นอนให้พอดี

นักวิจัยการนอนได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสารการนอน (Journal Sleep) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัว กับระยะเวลานอนในแต่ละคืน โดยทำการวิจัยในกลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 21 ถึง 64 ปี จำนวน 276 คน โดยทำการชั่งน้ำหนักไว้ก่อนเริ่มทำการศึกษา แล้วทำการติดตามน้ำหนักตัวเมื่อเวลาผ่านไป 6 ปี

ผู้วิจัยพบว่า กลุ่มที่ใช้เวลานอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับ กลุ่มที่นอน 8 ชั่วโมงต่อวัน และกลุ่มที่ใช้เวลานอนเกิน 9 ชั่วโมงต่อวันก็มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากขึ้นเฉลี่ย 1.58 กิโลกรัม

นอกจากนี้ผู้วิจัยยังพบอีกว่า คนที่นอนน้อยมีความเสี่ยงที่จะได้น้ำหนักตัวเพิ่ม 5 กิโลกรัมในเวลา 6 ปี เพิ่มขึ้น 35% ส่วนคนที่นอนเยอะเกินก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 25%

ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าความสัมพันธ์ของน้ำหนักตัวกับระยะเวลาการนอนนี้ เกิดจากการนอนนั้นมีผลต่อวงจรการหลั่งฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อความรู้สึก หิวหรืออิ่ม

ใครว่านอนเยอะแล้วจะขึ้นอืด นอนน้อยก็ขึ้นอืดได้เหมือนกันครับ

ที่มา: บทคัดย่อ ของการวิจัย The Association Between Sleep Duration and Weight Gain in Adults: A 6-Year Prospective Study from the Quebec Family Study

Tuesday, July 01, 2008

Kanzius Machine: ความหวังใหม่ในการรักษาโรคมะเร็ง

CBS 13/4/51 รายการ 60 Minutes ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ Kanzius Machine ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นโดย John Kanzius นักประดิษฐ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคลื่นวิทยุ ผู้ซึ่งเคยล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) ร่วมกับทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Steve Curley แห่ง M.D. Anderson เพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายของผู้ป่วย โดยอาศัยแนวคิด และวิทยาการทางด้าน nanotechnology ร่วมกับการใช้คลื่นวิทยุ

หลักการของ Kanzius Machine คือ การฉีดอนุภาคนาโนของทองคำที่มี antibody ที่เฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็งติดอยู่ด้วย เข้าไปในร่างกาย เพื่อให้อนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ไปจับกับเซลล์มะเร็ง ก่อนที่จะใช้คลื่นวิทยุเข้าไปสั่นสะเทือนอนุภาคนาโนเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อน และฆ่าเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด

ปัญหาของแนวคิดนี้คือ จำเป็นต้องหาโมเลกุลที่มีความเฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็ง เพื่อให้อนุภาคนาโนเหล่านี้เข้าไปจับ และทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง โดยที่ไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันออกไปในเซลล์มะเร็งแต่ละชนิดด้วย

ขณะนี้การศึกษาค้นคว้ายังอยู่ในห้องทดลอง ซึ่งสามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่ถูกฉีดอนุภาคนี้เข้าไป แล้วกระตุ้นด้วยคลื่นวิทยุได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งผู้วิจัยคาดว่าจะสามารถเริ่มการทดลองด้านคลินิก (clinical trial) ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า

ที่มา

Monday, April 14, 2008

E-mail และ Text messages: ลด IQ มากกว่าสูบกัญชา

นักจิตวิทยา จาก University of London รายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการใช้งาน text messaging และ email ที่มีผลต่อ IQ (สนับสนุนโดย Hewlett Packard) โดยแสดงผลของภาวะ Infomania หรือการหมกมุ่นอยู่กับการส่งข้อความผ่านทางช่องทางอิเล็คทรอนิกส์ต่าง ๆ (Electronics Messaging) ซึ่งมีสิ่งที่ทำให้วอกแวกเข้ามาตลอด กลายเป็นปัญหาสำคัญของคนทำงาน โดยเฉพาะผู้ชาย สมองจึงถูกกำหนดให้เตรียมพร้อมรับหลากหลายเรื่อง ตลอดเวลา (always on) แต่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับทางที่อยู่ตรงหน้าลดลง เป็นเหตุให้ IQ ลดลงแบบชั่วคราว

โดยการวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรก มีผู้เข้าร่วมการทดสอบ IQ 80 คน ซึ่งผู้วิจัยพบว่า มีการลดลงของ IQ โดยเฉลี่ยประมาณ 10 จุด (มากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับการสูบกัญชา ซึ่งลดลงประมาณ 4 จุด ในขณะที่การอดนอนก็ทำให้ IQ ลดลง 10 จุด) ในส่วนที่ 2 เป็นการตอบแบบสอบถาม ซึ่งพบว่า 62% มีการ”เสพติด”การเช็คข้อความ และ e-mail ที่เกี่ยวข้องกับงาน แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือในวันหยุด ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ยอมรับว่า ต้องตอบข้อความนั้น ๆ ทันที และ 1 ใน 5 จะหยุดการพบปะ หรือการประชุมเพื่อตอบข้อความ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม

ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ให้คำแนะนำแก่องค์กรที่มอบหมาย handheld communication device ให้แก่พนักงานว่า ควรกำหนด “แนวทางการใช้งาน” ให้แก่ผู้ใช้ เพื่อป้องกันการเปิดภาวะ online 24 ชั่วโมง

ตอนนี้มีเทคโนโลยีที่ทำให้เราติดต่อกันได้เร็วและง่ายขึ้นเสียด้วย ว่าแต่เจ้า Twitter นี่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีเลยหรือเปล่าครับ?

ทีมา: Why texting harms your IQ - Times Online

Wednesday, April 09, 2008

ฤทธิ์ยาแก้ปวด: ยิ่งแพงยิ่งหายปวด

ในท้องตลาดเรามักจะเห็นยาแก้ปวดหลากหลายชนิด มีราคาต่างกันออกไปตามความเก่าใหม่ของยา ส่วนใหญ่ยาที่ออกมาใหม่ ๆ มักมีราคาแพงกว่ายาที่ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งบริษัทยาก็โฆษณาว่า ยาตัวใหม่สามารถแก้ปวดได้ดีกว่ายาตัวเก่าเสมอ

ในวารสาร Journal of The American Medical Association ฉบับวันที่ 5 มีนาคม 2008 ได้ตีพิมพ์การศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์การแก้ปวดกับราคายาที่คนไข้รับรู้ โดยทำการศึกษาในคนปกติ 82 คน โดยครึ่งหนึ่งให้กินยาหลอกที่ไม่มีผลใด ๆ ต่อการลดอาการปวด (Placebo = เม็ดแป้งธรรมดา) โดยได้รับข้อมูลว่าเป็นยาแก้ปวดขนานใหม่ที่มีราคา $2.50 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ให้กินยาหลอกตัวเดียวกัน แต่บอกว่า ยาถูกลดราคาลงมาเหลือ $0.10 แล้วนำกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มไปทดสอบให้คะแนนระดับความเจ็บปวด (visual analog scale) ตั้งแต่ 0 (ไม่ปวดเลย)-100 (ปวดมากที่สุด) โดยการช็อตด้วยไฟฟ้าในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนทนไม่ได้

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับรู้ว่ายาแก้ปวดมีราคา $2.50 สามารถลดระดับความเจ็บปวดหลังจากกินยาได้ 85.4% ในขณะที่กลุ่มที่รับรู้ว่ายามีราคา $0.10 ลดระดับความเจ็บปวดลงได้เพียง 61%

การวิจัยนี้ผู้วิจัยก็เลยสรุปผลว่า การรักษาความเจ็บปวดนั้นจะได้ผลดีหรือไม่ส่วนนึงขึ้นอยู่กับความคาดหวังของ คนไข้ ซึ่งก็เป็นไปตามความเชื่อที่ว่ายาที่แพงกว่าจะมีฤทธิ์แก้ปวดที่ดีกว่า ทำให้เรามีแนวโน้มจะหันไปหายาแพง ๆ ที่ออกมาใหม่ ๆ มาใช้รักษาอาการปวด และบริษัทผู้ผลิตยาก็สามารถขายยาใหม่ได้เรื่อย ๆ ในราคาที่สูงกว่ายาเก่า

ที่มา:
Commercial Features of Placebo and Therapeutic Efficacy Rebecca L. Waber; Baba Shiv; Ziv Carmon; Dan Ariely JAMA. 2008;299(9):1016-1017.
จาก Journal of The American Medical Association


Monday, March 10, 2008

ทำยังไง ถ้าต้องอดนอน

จะอดนอนยังไงไม่ให้เดี้ยงไปเสียก่อน??

บางทีเราก็เลี่ยงที่จะอดนอนไม่ได้ เพราะ ต้องรีบปั่นรายงานส่ง ต้องรีบทำงานให้เสร็จทันเวลา ต้องทำงานในช่วงเวลาที่เพิ่งจะอดนอนมาหยก ๆ

มีวิธีการอดนอนหลายวิธีด้วยกันครับ

ก่อนอื่น เรามาดูคำแนะนำของการนอนที่ดีกันก่อน

ไม่ควรใช้ยานอนหลับ หรือสารเคมีอย่างอื่นช่วยในการนอนหลับ
ถ้าไม่ง่วง ลงไปนอนแล้วไม่หลับ ก็อย่าฝืน ลุกขึ้นมาทำอย่างอื่นไปเลย ง่วงแล้วค่อยกลับมานอน ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนไม่หลับก็ทำแบบเดียวกัน
ตื่น และนอนเป็นเวลา ถ้าทำได้
อย่าทำอะไรให้ตัวเองตื่นเต้นก่อนนอน เช่น หาเรื่องเครียด ดูหนังตื่นเต้น อย่าเอางานไปทำบนเตียง
งดเครื่องดื่มคาเฟอีน 6 ชั่วโมงก่อนนอน
การดื่มเหล้าอาจจะช่วยให้รู้สึกเคลิ้มในช่วงแรก แต่อาจมีปัญหานอนไม่หลับต่อมา
การออกไปโดนแสงแดด จะช่วยให้เราปรับเวลาการนอนได้ดีขึ้น

ถ้าจำเป็นต้องอดนอน มีเทคนิคการนอนที่เรียกว่า polyphasic sleep โดยการแบ่งการนอนออกเป็นช่วงสั้น ๆ ในหนึ่งวัน มีสองแบบที่เป็นที่รู้จักกันดี

Uberman's sleep แบ่งการนอนออกเป็นครั้งละ 20-25 นาที ทุก ๆ 4 ชั่วโมง เอาไว้ใช้เป็นท่าไม้ตาย เวลาจำเป็นต้องถ่างตาจริง ๆ
Core sleep มีการเพิ่มเวลา 2-3 ชั่วโมงจาก Uberman's sleep

อีกวิธีหนึ่งถ้าง่วงนอนมากจนทนไม่ไหว แนะนำให้ทำ caffeine nap หลักการคือ load caffeine เข้าไปก่อนที่จะสิ้นสติ พอดื่มเสร็จแล้วให้นอนทันที ห้ามเกิน 15 นาที (reboot สมอง) ปัญหาคือ ถ้านานกว่า 30 นาที อาจจะทำให้เฉื่อยลงได้

อ้างอิงจาก Cheat on the Need to Sleep

Saturday, December 09, 2006

อะไรเกิดขึ้น เมื่อคุณดื่มโค้กเข้าไป???

ทำไมคนถึงชอบดื่มโค้ก? เพราะมันทำให้คุณรู้สึกดีกับ น้ำตาล คาเฟอีน ในขณะที่ทำให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ทำงานหนักขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม

ที่สำคัญคุณจะติดมัน และต้องการมันมากขึ้นเรื่อย ๆ!!

http://healthbolt.net/2006/12/08/what-happens-to-your-body-if-you-drink-a-coke-right-now/
  • In The First 10 minutes: 10 teaspoons of sugar hit your system. (100% of your recommended daily intake.) You don’t immediately vomit from the overwhelming sweetness because phosphoric acid cuts the flavor allowing you to keep it down.
  • 20 minutes: Your blood sugar spikes, causing an insulin burst. Your liver responds to this by turning any sugar it can get it’s hands on into fat. (There’s plenty of that at this particular moment)
  • 40 minutes: Caffeine absorption is complete. Your pupils dialate, your blood pressure rises, as a response your livers dumps more sugar into your bloodstream. The adenosine receptors in your brain are now blocked preventing drowsiness.
  • 45 minutes: Your body ups your dopamine production stimulating the pleasure centers of your brain. This is physically the same way heroin works, by the way.
  • >60 minutes: The phosphoric acid binds calcium, magnesium and zinc in your lower intestine, providing a further boost in metabolism. This is compounded by high doses of sugar and artificial sweeteners also increasing the urinary excretion of calcium.
  • >60 Minutes: The caffeine’s diuretic properties come into play. (It makes you have to pee.) It is now assured that you’ll evacuate the bonded calcium, magnesium and zinc that was headed to your bones as well as sodium, electrolyte and water.
  • >60 minutes: As the rave inside of you dies down you’ll start to have a sugar crash. You may become irritable and/or sluggish. You’ve also now, literally, pissed away all the water that was in the Coke. But not before infusing it with valuable nutrients your body could have used for things like even having the ability to hydrate your system or build strong bones and teeth.

This will all be followed by a caffeine crash in the next few hours. (As little as two if you’re a smoker.) But, hey, have another Coke, it’ll make you feel better.