ช่วงนี้เจอกับเหตุการณ์อันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ่อยจนผิดปกติ บางเรื่องก็เพิ่งรู้ว่ามันก็เป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งของ burnout ได้ด้วย (เป็นเองโดยไม่รู้สึกตัว!)
เรื่อง Burnout นี่ แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์เองก็ยังไม่รู้จักเรื่องนี้ดีเท่าไหร่ ตำราแพทย์ (อาจจะยกเว้นตำราจิตแพทย์) แทบจะไม่เคยเขียนถึงเลยด้วยซ้ำ ที่จะมีกล่าวถึงแล้วผมไปอ่านเจอก็คงเป็น Tintinalli's Emergency Medicine พูดถึงปลายทางของ burnout ใน Chapter 294 เรื่อง Physician's Well-being ว่า หมอที่เกิดอาการจะลงเอยด้วยการดูแลผู้ป่วยที่แย่ลง ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานลดลง เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ บางครั้งเกิดการแสดงออกทางกาย (somatoform disorder) และพฤติกรรม นำไปสู่การใช้ยา ติดเหล้า และโรคซึมเศร้า
ที่จริงแล้วอาการ burnout เกิดได้ในทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่ทำงานภายใต้สภาวะกดดัน ร่วมกับความต้องการพิสูจน์ตัวเองในหน้าที่การงาน ที่สำคัญคือ มันจะเกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต นอกจากนี้ ยังไม่จำเป็นว่าคน 2 คนที่ทำงานภายใต้สถานการณ์เดียวกัน จะต้องเกิด burnout แบบเดียวกัน หรือพร้อมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการกับจิตใจตัวเองด้วย
วารสาร Scientific American Mind เดือนกรกฎาคม 2006 ได้กล่าวถึง Burnout cycle ของ Herbert Freudenberger ไว้ว่ามี 12 ระยะด้วยกัน โดยอาจจะมีการข้าม step หรือเกิดพร้อมกันก็ได้ แต่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ดังนี้ (คำแปลไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ :P)
1. ความต้องการพิสูจน์ตัวเอง (Compulsion to prove oneself) จุดเริ่มตันของหายนะที่จะตามมา นำไปสู่ระยะที่ 2
2. พยายามทำงานหนักขึ้น (Working Harder) คาดหวังสูง พยายามจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง นำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่มีใครสามารถทำแทนได้ ("irreplacability")
3. ละเลยความสุขส่วนตัว (Neglecting their needs) ทุ่มเททุกอย่างให้งาน ลดเวลานอน สละเวลากิน เลิกพบปะเพื่อนฝูง ลดความสำคัญของครอบครัว
4. ความรู้สึกขัดแย้ง แปลกแยก (Displacement of conflicts) เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่ถูกต้อง ไม่สามารถบ่งบอกที่มาได้ คนรอบข้างจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะนี้
5. เปลี่ยนทิศทางการประเมินตัวเอง (Revision of values) การแยกตัว ทุ่มเทกับงาน ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่น ทำให้การประเมินค่าของตัวเอง ขึ้นอยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น เกิดอารมณ์เฉยเมย (emotionally blunted)
6. ไม่ยอมรับปัญหา (Denial of emerging problems) ความอดทนที่ลดต่ำลง มองเพื่อนร่วมงานในแง่ร้าย รู้สึกว่าถูกกินแรง เกิดความไม่ไว้ใจ นำไปสู่การแสดงออกที่ก้าวร้าว และมองว่าสาเหตุของปัญหาเป็นเรื่องของปริมาณงานที่แบกรับเอาไว้ และเวลาทำงานที่ไม่เคยพอ
7. เลิกติดต่อกับผู้คน (Withdrawal) ปิดกั้นตัวเอง ความรู้สึกหมดหวัง หมดหนทางเริ่มแทรกซึมเข้ามา มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เริ่มใช้ตัวช่วยอย่าง ยา หรือเหล้า
8. พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง (Obvious behavioral changes) คนรอบข้างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในขณะที่ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าเพิ่มพูนขึ้น
9. จิตหลุด (Depersonalization) มองไม่เห็นความต้องการของตัวเอง มองไม่เห็นทางออก มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เป็นหุ่นยนต์
10. ชีวิตนี้ช่างว่างเปล่า (Inner Emptiness) แต่ความรู้สึกไม่อยากหายใจทิ้ง นำไปสู่การ "หาอะไรทำ" เที่ยวกลางคืน กินเหล้า เมายา อย่างหนัก
11. ซึมเศร้า (Depression) อาการของโรคซึมเศร้าปรากฏ หงอย หมดหวัง หมดแรง ชีวิตหมดความหมาย
12. หมดไฟ (Burnout syndrome) ถ้ามาถึงตรงนี้แล้ว คนที่หาทางออกไม่ได้ บ้างก็แสดงออกทางกาย (somatoform disorder) บ้างก็ทำให้เกิดอาการทางจิต (mental collapse)
อ่านดูแล้ว มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้สึกตัวได้เอาง่าย ๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกอาการ burnout นี้บ่อนทำลายชีวิตส่วนตัว และคนรอบข้างไปหลายแล้ว
ขอให้ท่านที่ผ่านมาอ่านข้อความเหล่านี้ รักษาตัวให้รอดพ้นจากอาการหมดไฟนี้ครับ
Note 1: แหล่งอื่นที่ผมอ่านเจอข้อมูลเกี่ยวกับ burnout กะเขาด้วย ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันนี้ คือ หนังสือ The Art of Community ของ @jonobacon (download ไปอ่านกันได้ฟรีครับ ที่ http://www.artofcommunityonline.org/)
Note 2: คำแปล "burnout" อันแรกที่นึกถึงคือ "เผามันให้วอด" หึ หึ
Note 3: ช่างบังเอิญ หนังสือออกใหม่ที่ไปเห็นมา สด ๆ ร้อน ๆ "Something for the Pain: Compassion and Burnout in ER" (เข้ากับชีวิตน่าดู) เก็บไว้ในโครงการหามาอ่านในโอกาสต่อไป
Note 4: หาหนังสือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ของท่านพุทธทาส มาอ่านคู่ด้วย น่าจะได้ความต่อเนื่องเป็นอย่างมาก
Tuesday, November 03, 2009
Monday, September 28, 2009
เมื่อ command line เหนือกว่า GUI: PDF conversion
ได้รับมอบหมายงาน scan หนังสือคู่มือเล่มเล็ก ๆ มา ปรากฏว่าทำการ scan ออกมา ได้เป็นไฟล์ ตามด้วยตัวเลข manual-1.png ไล่ไปเรื่อย ๆ
ปัญหาก็เลยเกิดว่า จะทำให้เป็น .pdf เพื่อแจกได้ง่าย ๆได้ยังไง
วิธีที่นึกออกเป็นอันแรก ก็คือ เปิดโปรแกรมที่สามารถสร้างเอกสารแล้ว save ออกมาเป็น pdf ได้ แล้วก็เอาไฟล์รูปมา paste ลงไปทีละหน้า resize ให้พอดี อาจจะเสียเวลาหน้าละ 1-2 นาที ทำ 30 หน้าก็คงเสียเวลาสักครึ่งชั่วโมง
ก่อนที่จะได้ลงมือ ก็ได้ไปเจอกับวิธีที่เร็วกว่า บน linux command line นั่นก็คือ การใช้ ImageMagick command line
ถ้ายังไม่ได้ลง ImageMagick ให้ apt-get ลงไปก่อน
เป็นอันเสร็จ ใช้เวลาประมาณ 2 นาที
ปัญหาก็เลยเกิดว่า จะทำให้เป็น .pdf เพื่อแจกได้ง่าย ๆได้ยังไง
วิธีที่นึกออกเป็นอันแรก ก็คือ เปิดโปรแกรมที่สามารถสร้างเอกสารแล้ว save ออกมาเป็น pdf ได้ แล้วก็เอาไฟล์รูปมา paste ลงไปทีละหน้า resize ให้พอดี อาจจะเสียเวลาหน้าละ 1-2 นาที ทำ 30 หน้าก็คงเสียเวลาสักครึ่งชั่วโมง
ก่อนที่จะได้ลงมือ ก็ได้ไปเจอกับวิธีที่เร็วกว่า บน linux command line นั่นก็คือ การใช้ ImageMagick command line
ถ้ายังไม่ได้ลง ImageMagick ให้ apt-get ลงไปก่อน
sudo apt-get install imagemagick
- เริ่มจากการ resize ขนาดให้เหมาะกับการอ่านในหน้าจอ และขนาดโดยรวมเล็กลง จะได้ส่งเมล์ง่าย ๆ
convert -resize 640 manual*png manual-s.png
ได้ไฟล์ผลลัพธ์เป็น manual-s-1.png ไล่ไปเรื่อย ๆ
- ต่อมาก็เป็น การรวบทุกรูปให้กลายเป็น pdf
convert manual-s*png manual.pdf
เป็นอันเสร็จ ใช้เวลาประมาณ 2 นาที
Wednesday, September 09, 2009
Cinema Paradiso
ในคำนำของหนังสือเรื่อง คนเล็ก หัวใจมหึมา มหาสมุทร ของ ประชาคม ลุนาชัย เล่าถึง การเดินทางกลับบ้านของคนพเนจรคนหนึ่ง บ้านที่มีคนเฝ้ารอยินดีกับการเดินทางกลับไปของเขา แม้ว่าการเดินทางนั้นจะเป็นเดินทางกลับไปมือเปล่า เหนื่อยล้า และอาจใช้เวลาชั่วชีวิต
โตโต้ ในหนัง Cinema Paradiso ก็เดินทางกลับบ้าน บ้านที่เขาเกิดและเติบโตใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวัยเด็ก และวัยรุ่น ก่อนที่วันหนึ่งจะตัดสินใจเดินทางจากไปและตั้งใจว่าจะไม่เหลียวหลังกลับมาอีก แม้ว่าในหนัง ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่โตโต้ได้ทำหลังจากที่เดินทางออกมา ว่าได้ทำอะไรสำเร็จไปบ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดี และกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่เขาไม่รู้จัก ในสถานที่ของคนแปลกหน้า อยู่ในความรู้สึกแปลกแยกอยู่เช่นนั้น
โตโต้เดินทางกลับบ้านอีกครั้ง ในอีก 30 ปีต่อมา
มาร่วมพิธีศพ
พิธีศพของคนที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็ก เป็นส่วนสำคัญในชีวิตในระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น พร้อม ๆ กับช่วงเวลาเหล่านั้นที่หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
ณ ที่ตรงนั้นทำให้โตโต้ได้รู้ว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาไปแล้ว
บางที เราคงจะต้องออกเดินทางไปเพื่อจุดหมายอะไรบางอย่าง ทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าและความหมายอะไรมากมาย จนไปถึงจุดที่เราเริ่มสงสัยว่ามาอยู่ในที่ที่ยืนอยู่นี้ได้อย่างไร และกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่แล้วนั่นแหละ เราถึงจะได้มองย้อนหลังกลับมาพบว่า สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อนานมาแล้ว และเราก็เดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้นไกลมากแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อเราเดินทางกลับไปในสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้น เรากลับพบว่า ตัวเราเองก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้นไปแล้ว ในขณะเดียวกัน เราก็พบตัวเราเองกำลังเป็นพยานของการเคยมีอยู่ของมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะถูกกระแสของกาลเวลาพัดพาไป
แล้วเราก็จะแยกย้ายกันไป
เมื่อฝุ่นจางลง สิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของคนอื่น ๆ ในที่แห่งนั้น ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ไม่มีใครจำได้ ว่างเปล่า และเงียบงันเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โตโต้ ในหนัง Cinema Paradiso ก็เดินทางกลับบ้าน บ้านที่เขาเกิดและเติบโตใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวัยเด็ก และวัยรุ่น ก่อนที่วันหนึ่งจะตัดสินใจเดินทางจากไปและตั้งใจว่าจะไม่เหลียวหลังกลับมาอีก แม้ว่าในหนัง ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่โตโต้ได้ทำหลังจากที่เดินทางออกมา ว่าได้ทำอะไรสำเร็จไปบ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดี และกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่เขาไม่รู้จัก ในสถานที่ของคนแปลกหน้า อยู่ในความรู้สึกแปลกแยกอยู่เช่นนั้น
โตโต้เดินทางกลับบ้านอีกครั้ง ในอีก 30 ปีต่อมา
มาร่วมพิธีศพ
พิธีศพของคนที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็ก เป็นส่วนสำคัญในชีวิตในระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น พร้อม ๆ กับช่วงเวลาเหล่านั้นที่หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
ณ ที่ตรงนั้นทำให้โตโต้ได้รู้ว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาไปแล้ว
บางที เราคงจะต้องออกเดินทางไปเพื่อจุดหมายอะไรบางอย่าง ทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าและความหมายอะไรมากมาย จนไปถึงจุดที่เราเริ่มสงสัยว่ามาอยู่ในที่ที่ยืนอยู่นี้ได้อย่างไร และกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่แล้วนั่นแหละ เราถึงจะได้มองย้อนหลังกลับมาพบว่า สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อนานมาแล้ว และเราก็เดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้นไกลมากแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อเราเดินทางกลับไปในสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้น เรากลับพบว่า ตัวเราเองก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนั้นไปแล้ว ในขณะเดียวกัน เราก็พบตัวเราเองกำลังเป็นพยานของการเคยมีอยู่ของมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะถูกกระแสของกาลเวลาพัดพาไป
แล้วเราก็จะแยกย้ายกันไป
เมื่อฝุ่นจางลง สิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของคนอื่น ๆ ในที่แห่งนั้น ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ไม่มีใครจำได้ ว่างเปล่า และเงียบงันเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
Sunday, September 06, 2009
GMail mobile ช้า...
โปรแกรม GMail mobile ที่เป็น J2ME app เอาไว้เช็คเมล์ในโทรศัพท์ ก็สะดวกดี ใช้ ๆ ไป มี version 2 มาให้ upgrade
ช่วงหลัง ๆ มาสังเกตว่า ทำไมยิ่งใช้ ยิ่งช้าลงไปเรื่อย ๆ 1 นาที, 3 นาที, 5 นาที, 15 นาที!!
ไม่ได้ติดใจอะไรจนกระทั่ง ลบโปรแกรมออก แล้วก็ลงใหม่ ปรากฏว่าโปรแกรมกลับมาเร็วเหมือนเดิม
แล้วก็ค่อย ๆ ช้าลงอีก เอาออกลงใหม่ก็หาย
วิธีแก้ที่หาเจอตอนนี้ ทางเดียว คือ downgrade ไปใช้ version 1.5 หน้าตาดูดีไม่เท่า ไม่มีลูกเล่นมาก แต่ทำงานพื้นฐานได้
แปลกใจที่ Google ยังไม่ได้แก้ไขเสียที ทั้ง ๆ ที่มีผู้ใช้แจ้งปัญหาเข้าไปก็ไม่น้อย
หรือเป็นเพราะความเร็วเครือข่ายบ้านเรามันช้าเกิน?
link:
Google support forum
ช่วงหลัง ๆ มาสังเกตว่า ทำไมยิ่งใช้ ยิ่งช้าลงไปเรื่อย ๆ 1 นาที, 3 นาที, 5 นาที, 15 นาที!!
ไม่ได้ติดใจอะไรจนกระทั่ง ลบโปรแกรมออก แล้วก็ลงใหม่ ปรากฏว่าโปรแกรมกลับมาเร็วเหมือนเดิม
แล้วก็ค่อย ๆ ช้าลงอีก เอาออกลงใหม่ก็หาย
วิธีแก้ที่หาเจอตอนนี้ ทางเดียว คือ downgrade ไปใช้ version 1.5 หน้าตาดูดีไม่เท่า ไม่มีลูกเล่นมาก แต่ทำงานพื้นฐานได้
แปลกใจที่ Google ยังไม่ได้แก้ไขเสียที ทั้ง ๆ ที่มีผู้ใช้แจ้งปัญหาเข้าไปก็ไม่น้อย
หรือเป็นเพราะความเร็วเครือข่ายบ้านเรามันช้าเกิน?
link:
Google support forum
Friday, August 28, 2009
สงคราม OS บน smartphone
วันนี้ได้อ่านข่าวที่ตอนแรกก็ผ่านตาเฉย ๆ : การประกาศตัวของ Nokia N900
พอได้อ่านรายละเอียด ก็รู้สึกว่า นี่มันเป็นการประกาศตัวของ OS ของโทรศัพท์มือถืออีก platform หนึ่ง แบบที่เกาะติดกระแสนิ้วสัมผัสแบบ iPhone เสียด้วย (ไหนว่าจะเป็นแค่ mobile internet device ไง)
สรุปว่าตอนนี้ OS บน smartphone ที่ถูกส่งลงสนามตอนนี้นับได้ 6 เข้าไปแล้ว iPhone, WebOS, Android, Maemo, Windows mobile และ Blackberry (ยังไม่นับ Symbian ที่กำลังเก็บกวาดบ้านอยู่)
3 ใน 6 (WebOS, Android, Maemo) มีรากมาจาก Linux และเป็น opensource (แต่ตอนนี้วิวัฒนาการเป็นคนละ species ไปแล้ว?)
ปีหน้าคงเป็นปีที่น่าปวดหัวไล่มาตั้งแต่ผู้ผลิตที่ไม่มี OS ของตัวเองชัดเจน (อย่างเช่น Samsung ที่ลองมาทั้ง Windows mobile, Android และ Symbian) ว่าจะเอาอันไหนมาใส่ดี หรือพวกที่มี OS ของตัวเอง (Apple, Palm, Nokia, RIM) ที่ต้องทำให้คนใช้ประทับใจขึ้นไปอีก คนพัฒนาโปรแกรมที่ไม่รู้ว่า platform ไหนจะมา คนใช้ที่มีอะไรให้เลือกเต็มไปหมด เหล่าแฟน และสาวก ฯลฯ
ที่แน่ ๆ ปีหน้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไร ไม่รู้ว่าจะมียี่ห้อไหนที่ทำ hardware ออกมาให้ลงมันได้ทุก OS หรือทำให้มี boot loader ไปเลยก็น่าจะดี
Links
Windows mobile,Maemo,Android,WebOS,Blackberry,iPhone
พอได้อ่านรายละเอียด ก็รู้สึกว่า นี่มันเป็นการประกาศตัวของ OS ของโทรศัพท์มือถืออีก platform หนึ่ง แบบที่เกาะติดกระแสนิ้วสัมผัสแบบ iPhone เสียด้วย (ไหนว่าจะเป็นแค่ mobile internet device ไง)
สรุปว่าตอนนี้ OS บน smartphone ที่ถูกส่งลงสนามตอนนี้นับได้ 6 เข้าไปแล้ว iPhone, WebOS, Android, Maemo, Windows mobile และ Blackberry (ยังไม่นับ Symbian ที่กำลังเก็บกวาดบ้านอยู่)
3 ใน 6 (WebOS, Android, Maemo) มีรากมาจาก Linux และเป็น opensource (แต่ตอนนี้วิวัฒนาการเป็นคนละ species ไปแล้ว?)
ปีหน้าคงเป็นปีที่น่าปวดหัวไล่มาตั้งแต่ผู้ผลิตที่ไม่มี OS ของตัวเองชัดเจน (อย่างเช่น Samsung ที่ลองมาทั้ง Windows mobile, Android และ Symbian) ว่าจะเอาอันไหนมาใส่ดี หรือพวกที่มี OS ของตัวเอง (Apple, Palm, Nokia, RIM) ที่ต้องทำให้คนใช้ประทับใจขึ้นไปอีก คนพัฒนาโปรแกรมที่ไม่รู้ว่า platform ไหนจะมา คนใช้ที่มีอะไรให้เลือกเต็มไปหมด เหล่าแฟน และสาวก ฯลฯ
ที่แน่ ๆ ปีหน้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไร ไม่รู้ว่าจะมียี่ห้อไหนที่ทำ hardware ออกมาให้ลงมันได้ทุก OS หรือทำให้มี boot loader ไปเลยก็น่าจะดี
Links
Windows mobile,Maemo,Android,WebOS,Blackberry,iPhone
Labels:
Android,
Blackberry,
Maemo,
WebOS,
Windows mobile
Monday, August 17, 2009
I Am Legend ตำนานที่ถูกผมเข้าใจผิด
ก่อนหน้าที่จะได้ดู I Am Legend ก็เคยได้ยินเสียงวิจารณ์ไปในทางบวกตั้งแต่ตอนที่หนังยังอยู่ในโรงเมื่อ 2 ปีก่อน
สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับหนังก็คือ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์กภายหลังโรคระบาดบางอย่าง และอุตส่าห์ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเพื่อให้สมจริง ฟังแล้วก็เข้าทำนองเลียนแบบ Tom Hanks ใน Castaway แต่เปลี่ยนจากติดเกาะ เป็นอยู่กลางกรุงแทน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่
ความรู้สึกแรกหลังจากดูจบ ก็คือ I Am Legend ก็แค่หนังแนวเดียวกับหนังโรคระบาดที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, Resident Evil ซึ่งสาวไปได้ถึงต้นตำรับหนังแนวซอมบี้ (zombie genre) นำโดยเจ้าของตำนานอย่าง George A. Romero ต้นกำเนิดของหนังตระกูล "The Dead" ทั้งหลาย (Night of Living Dead, Day of the Dead, Dawn of the Dead, Land of the Dead ฯลฯ) ซึ่งริเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี 1968 โน่น
ผมเข้าใจว่า I Am Legend ก็เป็นแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น
ผมเข้าใจผิดมหันต์
I Am Legend ต่างหากที่เป็นต้นตำรับ ของสิ่งที่ผมพิมพ์ไปข้างบนทั้งหมด
I Am Legend เป็นผลงานนวนิยายขนาดไม่ยาวมาก ของ Richard Matheson (เคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้กันไหมครับ?) ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1974 (เป็นอนาคตในตอนที่เขียน) เล่าเรื่องของ Robert Neville มนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรคระบาด ที่ต้องเผชิญกับ "ผู้ติดเชื้อ" (ผู้เขียนเรียกว่าแวมไพร์ ไม่ใช่ ซอมบี้ หรือ Darkseekers หรือ Hemocytes) ที่กลับมาจากโลกของความตายหลังพระอาทิตย์ตกดิน นำไปสู่การค้นพบต้นเหตุของโรคระบาด และลงเอยด้วยบทสรุปที่ไม่เหมือนในภาพยนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงแล้ว ตัวบทประพันธ์ I Am Legend เองก็เคยทำเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ครั้ง ในชื่อ The Last Man on Earth (1964), The Omega Man (1971) และ I am Legend (2007) ดังนั้นในแง่ของต้นกำเนิดแล้ว I Am Legend ของ Richard Matheson เกิดก่อน และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ของ George A. Romero ซึ่งสร้าง Night of Living Dead ภาคแรกออกมาหลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี จนกลายมาเป็น"แนวซอมบี้"ในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Stephen King ก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจาก I Am Legend ในงานเขียนเรื่อง Cell (แต่ผมคิดว่า เรื่องของแวมไพร์อย่าง Salem's Lot ก็มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่ไม่น้อย) เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ Richard Matheson ก็ได้รับความนิยมในขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นตำนานของวงการเรื่องสยองขวัญคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ยังไม่หมด
จากการค้นเจอข้อมูลของ Richard Matheson ยังนำผมไปสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง เช่น Stir of Echoes (หนังสยองขวัญ - Kevin Bacon นำแสดง), What Dreams May Come (romantic - Robin Williams) และ Somewhere in Time (อ่านไม่ผิดครับ! หนัง romantic อมตะที่นำแสดงโดย Christopher Reeve นั่นล่ะ) ก็เป็นผลงานของ Richard Matheson!
ยังไม่นับถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ ตอนของ Twilight zone series อีกด้วย
สำหรับหนังสือ I Am Legend ที่ผมได้มานี่เป็นเวอร์ชันหน้าปก Will Smith ในภาพยนตร์ ข้างใน มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องต่อท้ายมาด้วย บางเรื่องอ่านแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดอีกบางเรื่อง อย่างเช่น Prey (ไม่บอกว่าเหมือนเรื่องอะไร ลองอ่านดู) และเรื่องขนาดสั้นมากชนิด 3 หน้าจบ แต่เล่นเอาลืมไม่ลงอย่าง The Near Departed
สุดท้ายเอาวิดีโอสัมภาษณ์ Richard Matheson เกี่ยวกับผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีเหน็บ I Am Legend เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนท้ายนิด ๆ ด้วย
Links ที่น่าสนใจ
สิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับหนังก็คือ Will Smith รับบทเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในมหานครนิวยอร์กภายหลังโรคระบาดบางอย่าง และอุตส่าห์ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเพื่อให้สมจริง ฟังแล้วก็เข้าทำนองเลียนแบบ Tom Hanks ใน Castaway แต่เปลี่ยนจากติดเกาะ เป็นอยู่กลางกรุงแทน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่
ความรู้สึกแรกหลังจากดูจบ ก็คือ I Am Legend ก็แค่หนังแนวเดียวกับหนังโรคระบาดที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, Resident Evil ซึ่งสาวไปได้ถึงต้นตำรับหนังแนวซอมบี้ (zombie genre) นำโดยเจ้าของตำนานอย่าง George A. Romero ต้นกำเนิดของหนังตระกูล "The Dead" ทั้งหลาย (Night of Living Dead, Day of the Dead, Dawn of the Dead, Land of the Dead ฯลฯ) ซึ่งริเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี 1968 โน่น
ผมเข้าใจว่า I Am Legend ก็เป็นแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น
ผมเข้าใจผิดมหันต์
I Am Legend ต่างหากที่เป็นต้นตำรับ ของสิ่งที่ผมพิมพ์ไปข้างบนทั้งหมด
I Am Legend เป็นผลงานนวนิยายขนาดไม่ยาวมาก ของ Richard Matheson (เคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้กันไหมครับ?) ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1974 (เป็นอนาคตในตอนที่เขียน) เล่าเรื่องของ Robert Neville มนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรคระบาด ที่ต้องเผชิญกับ "ผู้ติดเชื้อ" (ผู้เขียนเรียกว่าแวมไพร์ ไม่ใช่ ซอมบี้ หรือ Darkseekers หรือ Hemocytes) ที่กลับมาจากโลกของความตายหลังพระอาทิตย์ตกดิน นำไปสู่การค้นพบต้นเหตุของโรคระบาด และลงเอยด้วยบทสรุปที่ไม่เหมือนในภาพยนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงแล้ว ตัวบทประพันธ์ I Am Legend เองก็เคยทำเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ครั้ง ในชื่อ The Last Man on Earth (1964), The Omega Man (1971) และ I am Legend (2007) ดังนั้นในแง่ของต้นกำเนิดแล้ว I Am Legend ของ Richard Matheson เกิดก่อน และแน่นอนว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ของ George A. Romero ซึ่งสร้าง Night of Living Dead ภาคแรกออกมาหลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี จนกลายมาเป็น"แนวซอมบี้"ในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Stephen King ก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจาก I Am Legend ในงานเขียนเรื่อง Cell (แต่ผมคิดว่า เรื่องของแวมไพร์อย่าง Salem's Lot ก็มีบรรยากาศคล้ายกันอยู่ไม่น้อย) เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ Richard Matheson ก็ได้รับความนิยมในขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นตำนานของวงการเรื่องสยองขวัญคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ยังไม่หมด
จากการค้นเจอข้อมูลของ Richard Matheson ยังนำผมไปสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเลยจะรู้ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง เช่น Stir of Echoes (หนังสยองขวัญ - Kevin Bacon นำแสดง), What Dreams May Come (romantic - Robin Williams) และ Somewhere in Time (อ่านไม่ผิดครับ! หนัง romantic อมตะที่นำแสดงโดย Christopher Reeve นั่นล่ะ) ก็เป็นผลงานของ Richard Matheson!
ยังไม่นับถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ ตอนของ Twilight zone series อีกด้วย
สำหรับหนังสือ I Am Legend ที่ผมได้มานี่เป็นเวอร์ชันหน้าปก Will Smith ในภาพยนตร์ ข้างใน มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องต่อท้ายมาด้วย บางเรื่องอ่านแล้วชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดอีกบางเรื่อง อย่างเช่น Prey (ไม่บอกว่าเหมือนเรื่องอะไร ลองอ่านดู) และเรื่องขนาดสั้นมากชนิด 3 หน้าจบ แต่เล่นเอาลืมไม่ลงอย่าง The Near Departed
สุดท้ายเอาวิดีโอสัมภาษณ์ Richard Matheson เกี่ยวกับผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีเหน็บ I Am Legend เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนท้ายนิด ๆ ด้วย
Links ที่น่าสนใจ
Monday, August 10, 2009
ประโยชน์ของการลง web browser 2 ตัว?
อันที่จริงบน Linux ลง web browser เป็น Firefox ตัวเดียวก็น่าจะพอ แต่ Firefox ก็ยังมีปัญหาในการจัดการกับ process ของตัวเอง ทำให้บางครั้งอาการค้างเกิดขึ้นในทุก ๆ หน้าต่างพร้อมกัน ปัญหาที่เจอบ่อยก็คือ การเปิดหน้าเวบที่ใช้ flash ในการ upload ไฟล์ หรือเวลาที่สั่งพิมพ์หน้าเวบขนาดใหญ่ ทุกหน้าต่างกลายเป็นสีเทาหมดสิ้น
วิธีแก้แบบบ้าน ๆ ก็คือ ลง web browser อีกตัวหนึ่ง พอตัวแรกทำงานค้างเป็นจอสีเทา ก็เปิด web browser ตัวสำรองลงสนาม
- ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ Firefox ก็ ลง version 3.0 กับ 3.5 ไว้ด้วยกัน (Ubuntu Jaunty)
sudo apt-get install firefox firefox-3.5
(Firefox 3.5 มีชื่อว่า Shiretoko) - ทางเลือกอื่น ๆ ถ้ายังชอบ gecko engine ของ Firefox ก็ flock (แถมอุปกรณ์ social network เพียบ), epiphany
- สำหรับ webkit browser บน GNOME ชั่วโมงนี้ น่าจะยังเป็นของ Midori
sudo apt-get install midori
Saturday, July 18, 2009
Ender's Shadows: Ender's Game ที่ไม่ใช่ของ Ender คนเดียวอีกต่อไป
จากผลงานอมตะของ Orson Scott Card Ender's Game (1985) ที่เป็นเรื่องราวสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่มีวิวัฒนาการมาจากแมลง (Buggers - ฉบับภาษาไทยใช้คำว่า "แมง"?) มนุษย์สามารถรักษาโลกเอาไว้ได้แบบฉิวเฉียด โดยกองกำลังพิเศษที่ถูกคัดมาจากเด็กที่มีพรสวรรค์ทั้งหลาย ภายใต้การนำของ Andrew Wiggins หรือ Ender
นั่นเป็นเรื่องราวของ Ender's Game
14 ปีต่อมา Orson Scott Card ได้นำเรื่องราวของ Ender's Game มาปัดฝุ่นใหม่ ผ่านมุมมองของเพื่อนร่วมทีมที่มีอายุน้อยที่สุดใน Battle School ซึ่งกลายมาเป็นสหายร่วมรบมือขวาของ Ender ที่รู้จักกันในขื่อ "Bean"
มาคราวนี้ Ender's Shadow (1999) เล่าความเป็นมาของ Bean จากเด็กเร่ร่อนในเมือง Rotterdam ที่ต้องใช้ไหวพริบในการเอาชีวิตรอดบนท้องถนน ก่อนที่จะถูกคัดเลือกเข้ามาใน Battle School ด้วยความฉลาดเกินวัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Ender's Game แต่เนื้อเรื่องเดิมได้ถูกดำเนินไปในมุมมองของ Bean และมีรายละเอียดที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ใน Ender's Game อยู่ด้วย ซึ่งการเข้ามาใน Battle School ของ Bean นี้เอง นำไปสู่การเปิดโปงความเป็นมาที่แท้จริงของตัวเขาเอง ซึ่งส่งผลให้ Bean เปลี่ยนมุมมองต่อตัวของเขาเอง และมนุษยชาติตลอดไป
แน่นอนว่าเรื่องราวของ Bean ยังดำเนินต่อไป หลังจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกหลังจากที่สงครามกับพวก Buggers จบลง เส้นทางของ Bean และ Ender จะไม่มาบรรจบกันอีก และยุคของ Hegemon ที่นำโดย Peter Wiggins เพิ่งจะเริ่มต้น และแน่นอน สงครามยังไม่จบ
"Ender's war is over," he thought. "This next one will be mine."
นั่นเป็นเรื่องราวของ Ender's Game
14 ปีต่อมา Orson Scott Card ได้นำเรื่องราวของ Ender's Game มาปัดฝุ่นใหม่ ผ่านมุมมองของเพื่อนร่วมทีมที่มีอายุน้อยที่สุดใน Battle School ซึ่งกลายมาเป็นสหายร่วมรบมือขวาของ Ender ที่รู้จักกันในขื่อ "Bean"
มาคราวนี้ Ender's Shadow (1999) เล่าความเป็นมาของ Bean จากเด็กเร่ร่อนในเมือง Rotterdam ที่ต้องใช้ไหวพริบในการเอาชีวิตรอดบนท้องถนน ก่อนที่จะถูกคัดเลือกเข้ามาใน Battle School ด้วยความฉลาดเกินวัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Ender's Game แต่เนื้อเรื่องเดิมได้ถูกดำเนินไปในมุมมองของ Bean และมีรายละเอียดที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ใน Ender's Game อยู่ด้วย ซึ่งการเข้ามาใน Battle School ของ Bean นี้เอง นำไปสู่การเปิดโปงความเป็นมาที่แท้จริงของตัวเขาเอง ซึ่งส่งผลให้ Bean เปลี่ยนมุมมองต่อตัวของเขาเอง และมนุษยชาติตลอดไป
แน่นอนว่าเรื่องราวของ Bean ยังดำเนินต่อไป หลังจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกหลังจากที่สงครามกับพวก Buggers จบลง เส้นทางของ Bean และ Ender จะไม่มาบรรจบกันอีก และยุคของ Hegemon ที่นำโดย Peter Wiggins เพิ่งจะเริ่มต้น และแน่นอน สงครามยังไม่จบ
"Ender's war is over," he thought. "This next one will be mine."
Wednesday, July 08, 2009
Stephen King's Salem's Lot
Salem's Lot เป็นผลงานของ Stephen King ที่เขียนขึ้นในช่วง ปี 1976 เป็นเรื่องราวของเมืองเล็ก ๆ ในรัฐ Maine ที่กลายสภาพเข้าสู่เมืองร้างโดยที่ไม่มีคนภายนอกให้ความสนใจ แต่ภายในความเงียบของเมืองนี้ มีที่มาจากการมาของบุคคลภายนอก 2 คน ซึ่งได้นำเอาความน่าสะพรึงกลัวติดตามมาด้วย
ความสยองขวัญของเนื้อเรื่องอยู่ที่การที่เมืองค่อย ๆ เปลี่ยนจากเมืองธรรมดาให้ตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของสิ่งมีชีวิตที่มาจากความมืด และการเผชิญหน้ากับวัยเด็กที่น่าสะพรึงกลัวของตนเองของตัวเอกในเรื่อง นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างเขา กับ มัน โดยดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกสยองแบบคลาสสิกของ Bram Stoker's Dracula และเรื่องการมาของปีศาจที่มาพร้อมกับร้านขายของแบบ The Needful Things
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Salem's Lot ก็คือ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของนักบวชที่ชื่อ หลวงพ่อ Callahan ที่ไปปรากฏตัวใน The Dark Tower series ในช่วงตั้งแต่ Wolves of Calla ซึ่งเป็นเล่มที่ 5 เป็นต้นไป ที่ถูกเขียนขึ้นในอีก 20 กว่าปีต่อมา ในต่างเวลา และสถานที่ (มิติ?)
อ่านแล้วคงต้องกลับไปดู Bram Stoker's Dracula ของ Stanley Kubrick อีกสักรอบ หรือไม่ก็รอดู Daybreakers น่าจะดี
ความสยองขวัญของเนื้อเรื่องอยู่ที่การที่เมืองค่อย ๆ เปลี่ยนจากเมืองธรรมดาให้ตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของสิ่งมีชีวิตที่มาจากความมืด และการเผชิญหน้ากับวัยเด็กที่น่าสะพรึงกลัวของตนเองของตัวเอกในเรื่อง นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างเขา กับ มัน โดยดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกสยองแบบคลาสสิกของ Bram Stoker's Dracula และเรื่องการมาของปีศาจที่มาพร้อมกับร้านขายของแบบ The Needful Things
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Salem's Lot ก็คือ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของนักบวชที่ชื่อ หลวงพ่อ Callahan ที่ไปปรากฏตัวใน The Dark Tower series ในช่วงตั้งแต่ Wolves of Calla ซึ่งเป็นเล่มที่ 5 เป็นต้นไป ที่ถูกเขียนขึ้นในอีก 20 กว่าปีต่อมา ในต่างเวลา และสถานที่ (มิติ?)
อ่านแล้วคงต้องกลับไปดู Bram Stoker's Dracula ของ Stanley Kubrick อีกสักรอบ หรือไม่ก็รอดู Daybreakers น่าจะดี
Friday, July 03, 2009
Customer service by Twitter: Overheard
เมื่อวานเจอวิธีการใช้ Twitter มาเป็นเครื่องมือสำหรับภาคธุรกิจแบบใหม่ ที่ทำให้ช่วยเพิ่มโอกาสการให้บริการ และให้ข้อมูลลูกค้าได้ด้วย โดย GetSatisfaction
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจาก install firefox 3.5 ผ่านทาง Ubuntu repos แล้วพบว่า ยังเป็น beta version อยู่ ไม่ใช่ stable release ก็เลยเกริ่นลอย ๆ เข้าไปใน Twitter
อีกประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อมา มี tweet นี้โผล่มาใน mention list
พอตาม link เข้าไปดูก็เจอคำอธิบายให้ลูกค้าเสร็จสรรพ ด้วยการขึ้นหัวเรื่องว่า "Overheard from twitter post"
โมเดลการตอบสนองลูกค้าแบบคอยเงี่ยหูฟังคนบ่น แบบนี้ก็น่าสนใจดี เพราะ twitter ก็เป็นที่รำพึง เรื่องต่าง ๆ ของผู้คนอยู่แล้ว เพียงแต่ดักคำที่ต้องการ แล้วก็ให้ข้อมูลกันแบบ realtime ได้เลย
อ้างอิง:
http://twitter.com/zybernav/status/2435410120
http://twitter.com/getsatisfaction/status/2436551975
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจาก install firefox 3.5 ผ่านทาง Ubuntu repos แล้วพบว่า ยังเป็น beta version อยู่ ไม่ใช่ stable release ก็เลยเกริ่นลอย ๆ เข้าไปใน Twitter
อีกประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อมา มี tweet นี้โผล่มาใน mention list
พอตาม link เข้าไปดูก็เจอคำอธิบายให้ลูกค้าเสร็จสรรพ ด้วยการขึ้นหัวเรื่องว่า "Overheard from twitter post"
โมเดลการตอบสนองลูกค้าแบบคอยเงี่ยหูฟังคนบ่น แบบนี้ก็น่าสนใจดี เพราะ twitter ก็เป็นที่รำพึง เรื่องต่าง ๆ ของผู้คนอยู่แล้ว เพียงแต่ดักคำที่ต้องการ แล้วก็ให้ข้อมูลกันแบบ realtime ได้เลย
อ้างอิง:
http://twitter.com/zybernav/status/2435410120
http://twitter.com/getsatisfaction/status/2436551975
Saturday, June 13, 2009
HOME - a film by Yann Arthus-Bertrand
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาดูอะไรยาว ๆ เท่าไหร่ แต่การได้ดูสารคดีขนาดยาว 90 นาทีเรื่องนี้ เริ่มต้นมาจาก วิดีโอของ TED talk ที่ผู้สร้างมีโอกาสได้ไปพูด พร้อมกับนำเสนอรูปถ่ายภูมิประเทศที่ดูแปลกตาจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ก็เลยต้องตามไปดูแบบเต็ม ๆ ซึ่งสารคดีชุดนี้แจกให้ชมฟรี แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านทางเวบไซต์ http://www.home-2009.com โดยมีผู้สนับสนุนเป็นสินค้า brand name ชื่อดังหลายรายด้วยกัน
เรื่องราวของสารคดีนี้ เกี่ยวกับ ดาวเคราะห์ชื่อว่าโลก ที่เราอาศัยอยู่มาตลอดนับตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 400,000 ปีก่อน และผลของการพิชิตธรรมชาติของเผ่าพันธุ์นี้ โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบกับโลกทั้งใบ เพราะความต้องการบริโภคทรัพยากรของมนุษย์ที่มีมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าในแง่ของเนื้อหาจะไม่มีความสดใหม่นอกเหนือไปจากประเด็นที่อยู่ในความสนใจ อย่าง ภาวะโลกร้อน การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และน้ำ การเปลี่ยนแปลงกลไกการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และการทำลายสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในทุกมุมของโลก แต่การนำเสนอภาพที่ปรากฏในสารคดีสร้างความแปลกใหม่ในแง่ของมุมมองของภูมิประเทศในมุมสูง ได้อย่างน่าทึ่งและสวยงาม ชวนให้ติดตาม ในมุมมองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ในตอนท้ายเราได้เห็นว่า อย่างน้อยความหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้นได้นั้นก็ยังไม่ได้หมดไปเสียทีเดียว เพราะมนุษย์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และเทคโนโลยีต่าง ๆ และการบริโภคอย่างมีสติ เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล และยั่งยืนต่อไป
สำหรับคนที่ชอบสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth สารคดี HOME นี้ได้นำเสนอประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างออกไปมากนัก และย้ำในจุดยืนของการกอบกู้สมดุลธรรมชาติกลับคืนมาอีกครั้ง ในรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างออกไป รวมทั้งภาพภูมิประเทศแปลกตาที่นำไปสู่มุมมองใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนตัวของผมแล้ว หลังจากดูจบแล้ว รู้สึกผิดอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เห็นแม้กระทั่งภาพที่ธรรมชาติถูกทำลาย ก็ยังถ่ายทำได้ออกมาดูสวยไปซะงั้น
ที่มา:
เรื่องราวของสารคดีนี้ เกี่ยวกับ ดาวเคราะห์ชื่อว่าโลก ที่เราอาศัยอยู่มาตลอดนับตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 400,000 ปีก่อน และผลของการพิชิตธรรมชาติของเผ่าพันธุ์นี้ โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบกับโลกทั้งใบ เพราะความต้องการบริโภคทรัพยากรของมนุษย์ที่มีมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าในแง่ของเนื้อหาจะไม่มีความสดใหม่นอกเหนือไปจากประเด็นที่อยู่ในความสนใจ อย่าง ภาวะโลกร้อน การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และน้ำ การเปลี่ยนแปลงกลไกการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และการทำลายสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในทุกมุมของโลก แต่การนำเสนอภาพที่ปรากฏในสารคดีสร้างความแปลกใหม่ในแง่ของมุมมองของภูมิประเทศในมุมสูง ได้อย่างน่าทึ่งและสวยงาม ชวนให้ติดตาม ในมุมมองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ในตอนท้ายเราได้เห็นว่า อย่างน้อยความหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้นได้นั้นก็ยังไม่ได้หมดไปเสียทีเดียว เพราะมนุษย์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และเทคโนโลยีต่าง ๆ และการบริโภคอย่างมีสติ เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล และยั่งยืนต่อไป
สำหรับคนที่ชอบสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth สารคดี HOME นี้ได้นำเสนอประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างออกไปมากนัก และย้ำในจุดยืนของการกอบกู้สมดุลธรรมชาติกลับคืนมาอีกครั้ง ในรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างออกไป รวมทั้งภาพภูมิประเทศแปลกตาที่นำไปสู่มุมมองใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนตัวของผมแล้ว หลังจากดูจบแล้ว รู้สึกผิดอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เห็นแม้กระทั่งภาพที่ธรรมชาติถูกทำลาย ก็ยังถ่ายทำได้ออกมาดูสวยไปซะงั้น
ที่มา:
Wednesday, May 27, 2009
Ubuntu Jaunty: Tracker index error
ปัญหา Tracker Indexer error หลังจาก upgrade เป็น Jaunty
หลังจากที่ได้ upgrade จาก Intrepid เป็น Jaunty ไปได้สักพักก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ โดย มี dialog box แจ้งว่า Tracker Applet error เป็นระยะ (ไม่ได้ capture screen เอาไว้) ข้อความก็มีว่า
------
Tracker Applet
Tracker
There was an error while performing indexing
Index corrupted
Reindex All, Cancel, OK
------
หลังจากที่ค้นดูใน Google ก็มีคนที่เจอปัญหาในทำนองเดียวกัน (หลังจาก upgrade เป็น Jaunty เช่นเดียวกัน?) โดยปัญหาเหมือนจะเกิดจาก cache ของ Tracker เอง ซึ่งวิธีแก้ปัญหาก็คือการล้างไพ่ cache ของ Tracker ใหม่
---
killall trackerd
killall tracker-indexer
rm -rf .cache/tracker .local/share/tracker/data
---
หลังจากที่ลองใช้มาได้สักพักก็ไม่เจอปัญหานี้อีก
ท่าทาง Ubuntu version x.04 จะมีอาถรรพ์ รอบที่แล้ว Hardy หา wireless LAN ไม่เจอ มา Jaunty ก็มีปัญหากับ การ์ดจอของ Intel จน compiz เดี้ยง
คราวหน้าต้องดูกันดี ๆ ก่อน upgrade ซะแล้ว
References:
launchpad
bug.debian.org
หลังจากที่ได้ upgrade จาก Intrepid เป็น Jaunty ไปได้สักพักก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ โดย มี dialog box แจ้งว่า Tracker Applet error เป็นระยะ (ไม่ได้ capture screen เอาไว้) ข้อความก็มีว่า
------
Tracker Applet
Tracker
There was an error while performing indexing
Index corrupted
Reindex All, Cancel, OK
------
หลังจากที่ค้นดูใน Google ก็มีคนที่เจอปัญหาในทำนองเดียวกัน (หลังจาก upgrade เป็น Jaunty เช่นเดียวกัน?) โดยปัญหาเหมือนจะเกิดจาก cache ของ Tracker เอง ซึ่งวิธีแก้ปัญหาก็คือการล้างไพ่ cache ของ Tracker ใหม่
---
killall trackerd
killall tracker-indexer
rm -rf .cache/tracker .local/share/tracker/data
---
หลังจากที่ลองใช้มาได้สักพักก็ไม่เจอปัญหานี้อีก
ท่าทาง Ubuntu version x.04 จะมีอาถรรพ์ รอบที่แล้ว Hardy หา wireless LAN ไม่เจอ มา Jaunty ก็มีปัญหากับ การ์ดจอของ Intel จน compiz เดี้ยง
คราวหน้าต้องดูกันดี ๆ ก่อน upgrade ซะแล้ว
References:
launchpad
bug.debian.org
Sunday, May 24, 2009
ประสบการณ์จากปูซาน
- เกาหลีเปลี่ยนตัวสะกดภาษาอังกฤษจาก P เป็น B ซะมากเพราะต้องการเสียง ป ไม่ใช่ พ ปูซานก็เลยเป็น Busan และ Pumo temple กลายเป็น Beomeosa temple
- อย่าแลกเงินวอนที่สุวรรณภูมิเป็นอันขาด เพราะแพงมากจนอาจทำให้ซื้ออะไรไม่ลง (15 พ.ค. 52 ขาย 0.046 KRW = 1 THB; ซื้อ 0.024 KRW=1 THB!) ถ้าจำเป็นให้แลกไปเป็น USD แล้วค่อยไปแลกที่เกาหลี
- คนปูซานส่วนใหญ่อาศัยบนตึกสูง เดินทางใต้ดิน ช็อปปิ้งใต้ดิน บนถนนช่างเงียบเชียบ
- เห็นวิธีการใช้ net book แบบใหม่ โดยสาว ๆ ที่นี่ ใช้เครื่องเล็ก ๆ ดูหนังซีรี่ย์ ในระหว่างนั่งรถไฟฟ้า
- เชื่อแล้วว่า เกาหลีเป็นประเทศโรแมนติกแบบในหนังซีรี่ย์ (ดูรูปประกอบ)
- น้ำประปาเข้าจมูกทำให้จาม
- อีกข้อหนึ่งที่ทำให้ปูซานเป็นเมืองที่น่าอิจฉา เพราะมีภูเขาอยู่ใกล้ ๆ ให้ hiking ได้ (Mt. GeumJeung fortress) มีเส้นทางเดินลงมาถึงวัด Beomeosa ด้วย (9 km)
- ปลั๊กไฟเป็นแบบยุโรป
- ถ้าอ่านภาษาจีนออก อาจจะอ่านป้ายในเกาหลีได้ ถ้าพูดภาษาญี่ปุ่นได้ อาจจะพูดกับคนเกาหลีรู้เรื่อง (วัย 60 ขึ้นไป)
- เซจู เป็นชื่อเหล้าของเกาหลีที่ขายดีที่สุด (18% Alcohol) ว่ากันว่าผู้ชายเกาหลีดื่มปีละ 160 ขวด/คน (ลืมถามสถิติโรคตับแข็ง)
- ปลาปักเป้ากับถั่วงอก แก้เมา (!??!!)
- มือถือที่เอาไปใช้ต้องเป็น 3G หรือก็ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน ข้อดี: เร็วได้ใจ เล่นเพลิน ข้อเสีย: แพง เล่นเพลิน สิ้นเนื้อประดาตัว
- เครื่องสำอาง skin food ขายอยู่ในร้านห้องแถว และ home plus (ประมาณ Lotus - big C บ้านเรา) แต่ไม่มีหน้าร้านอยู่ กับโซนเครื่องสำอาง brand name
- ความสามาวถในการซื้อเครื่องสำอางของตัวเอง = 75% (ซื้อถูกต้อง 3 ชิ้น ใน 4 ชิ้น) คราวหน้า ให้คนที่ฝากซื้อ print ชื่อ รูป พร้อมสรรพคุณ มาให้เลยดีที่สุด
- Korea in 3 words: ทันสมัย, น่ารัก, อร่อย (เทคโนโลยี, สาว ๆ, อาหาร เรียงตามลำดับ ห้ามสลับที่!)
Monday, May 11, 2009
Sunday, May 10, 2009
Stand By Me
Stand By Me เป็นเพลงที่ร้องโดย Ben E. King ถูกเขียนขึ้น และนำมาร้องครั้งแรกในปี 1961 ต่อมา John Lennon ได้เอามาร้องใหม่ ในรูปแบบของ The Beatles ที่รู้จักกันดี แล้วก็มีการนำมาร้องในอีกหลายเวอร์ชันด้วยกัน
ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกจากการดูหนังที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งมีโครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ Stephen King เรื่อง The Body ตัวหนังเป็นเรื่องราวความเป็นเพื่อนของเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ออกเดินทางผจญภัยไปด้วยกัน การค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างเดินทาง เป็นองค์ประกอบของการเดินทางเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (มารู้ทีหลังว่าเขาเรียกว่าแนว coming of age) ซึ่งมีคนเคยบอกว่า ผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลาของตัวละครในเรื่องนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง
Stand By Me ก็เป็นเพลงที่นำมาร้องในช่วง end credit ของหนังเรื่องนี้นี่เอง ชอบจนไปหาต้นฉบับมาฟังจนได้ หลังจากนั้นเพลงนี้เป็นเพลงที่ติดอยู่ในหัวมานานหลายปี (รวมที่ดูหนังซ้ำไปอีกหลายรอบ)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดไปเจอเวบหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า Playing for Change ที่เรียบเรียงเสียงนักดนตรีจากประเทศต่าง ๆ ทุกมุมโลก โดยอาศัยเครื่องมืออัดเสียง และคอมพิวเตอร์ มานำเสนอบนอินเตอร์เนต แล้วก็ได้ฟังเพลง Stand By Me อีกครั้ง คราวนี้ประกอบขึ้นจากนักดนตรี 35 คนทั่วโลก ให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว แต่ก็เห็นด้วยกับคำบรรยายในเวบ ว่า แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่เคยพบปะกันโดยตรงก็ตาม แต่เสียงดนตรีก็ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
รับฟังที่:
อ้างอิง:
ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกจากการดูหนังที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งมีโครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ Stephen King เรื่อง The Body ตัวหนังเป็นเรื่องราวความเป็นเพื่อนของเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ออกเดินทางผจญภัยไปด้วยกัน การค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างเดินทาง เป็นองค์ประกอบของการเดินทางเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (มารู้ทีหลังว่าเขาเรียกว่าแนว coming of age) ซึ่งมีคนเคยบอกว่า ผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลาของตัวละครในเรื่องนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง
Stand By Me ก็เป็นเพลงที่นำมาร้องในช่วง end credit ของหนังเรื่องนี้นี่เอง ชอบจนไปหาต้นฉบับมาฟังจนได้ หลังจากนั้นเพลงนี้เป็นเพลงที่ติดอยู่ในหัวมานานหลายปี (รวมที่ดูหนังซ้ำไปอีกหลายรอบ)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดไปเจอเวบหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า Playing for Change ที่เรียบเรียงเสียงนักดนตรีจากประเทศต่าง ๆ ทุกมุมโลก โดยอาศัยเครื่องมืออัดเสียง และคอมพิวเตอร์ มานำเสนอบนอินเตอร์เนต แล้วก็ได้ฟังเพลง Stand By Me อีกครั้ง คราวนี้ประกอบขึ้นจากนักดนตรี 35 คนทั่วโลก ให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว แต่ก็เห็นด้วยกับคำบรรยายในเวบ ว่า แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่เคยพบปะกันโดยตรงก็ตาม แต่เสียงดนตรีก็ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
รับฟังที่:
อ้างอิง:
Saturday, May 02, 2009
หน้าจอ Chat styled SMS สำหรับ Symbian
หลังจากที่ iPhone เป็นผู้เริ่มต้นการใช้หน้าจอ SMS แบบ chat style เป็นเจ้าแรก PalmOS และ Windows mobile ก็เริ่มมีความสามารถแบบนี้เพิ่มขึ้นมาแล้ว คราวนี้ถึงคราว Symbian บ้างหลังจากที่คราวก่อนบ่นเอาไว้ในประสบการณ์หลังเปลี่ยนมาใช้ Symbian
มาวันนี้คนใช้ Symbian ก็ได้มีโอกาสใช้หน้าจอ SMS ในแบบของ chat กับเขาบ้าง แต่ว่าต้องใช้โปรแกรม 3rd party ที่มีชื่อว่า Free-iSMS ซึ่งสามารถ download มาใช้ได้ฟรี (เป็น unsigned application ซึ่งก็จัดการไปแล้วด้วย Drakkarious) เมื่อ install เสร็จแล้ว ก็เปิดใช้งาน โดยจะต้องทำการ sync message ในครั้งแรก และการเปิดโปรแกรมใหม่ หากมีการได้รับ SMS ในช่วงระหว่างนั้น แล้วก็เริ่มใช้งานได้เลย
ใช้มาได้พักใหญ่เพิ่งมาเห็นว่าหน้าจอเหมือนของ iPhone อย่างกับแกะ
มาวันนี้คนใช้ Symbian ก็ได้มีโอกาสใช้หน้าจอ SMS ในแบบของ chat กับเขาบ้าง แต่ว่าต้องใช้โปรแกรม 3rd party ที่มีชื่อว่า Free-iSMS ซึ่งสามารถ download มาใช้ได้ฟรี (เป็น unsigned application ซึ่งก็จัดการไปแล้วด้วย Drakkarious) เมื่อ install เสร็จแล้ว ก็เปิดใช้งาน โดยจะต้องทำการ sync message ในครั้งแรก และการเปิดโปรแกรมใหม่ หากมีการได้รับ SMS ในช่วงระหว่างนั้น แล้วก็เริ่มใช้งานได้เลย
ใช้มาได้พักใหญ่เพิ่งมาเห็นว่าหน้าจอเหมือนของ iPhone อย่างกับแกะ
Sunday, April 19, 2009
Drakkarious: Enable all application installation for Symbian
ความอึดอัดอย่างนึงของผู้ใช้ Symbian S60 ก็คือ มีการจำกัด software ที่จะ install ลงไปในเครื่องได้เฉพาะ โปรแกรมที่ได้รับการลงทะเบียน (signed) แล้วเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถติดตั้งโปรแกรมอีกหลาย ๆ ตัว ที่มีประโยชน์ลงไปตรง ๆ ได้ ต้องผ่านขั้นตอนของการ sign มากมาย และซับซ้อน แม้ว่าจะมีความพยายามให้ผู้ใช้สามารถ sign โปรแกรมได้ด้วย ตัวเอง ก็ยังไม่วายมีข้อเสีย ทั้งการเปิดเผยเลข IMEI หรือไม่ก็เป็นการตามหา developer ID แม้แต่ Open sign ของ Symbian เองก็ไม่ work
อีกแนวทางหนึ่ง ก็คือการ bypass การตรวจสอบโปรแกรมของโทรศัพท์ ไปซะเลย ทีนี้จะลงโปรแกรมที่ยังไม่ sign ก็ได้ ความพยายามในการ hack โทรศัพท์ก็มีหลายแนวทางด้วยกัน แต่วิธีการเกือบทั้งหมดต้องอาศัย PC Suite เชื่อมต่อเข้ากับ Windows PC ก็ลำบากอีก เพราะมีแต่ linux
วิธีการที่เหมาะที่สุด สำหรับผมก็คือ ทำโดยไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อกับ PC ซึ่งก็คือ การใช้ Drakkarious Package ซึ่งประกอบไปด้วยโปรแกรมที่ช่วยในการ hack 3-4 ตัวมาไว้ด้วยกัน download
สำหรับขั้นตอนในการทำนั้น เขียนไว้ค่อนข้างละเอียดใน document ของโปรแกรมแล้ว มีเป็นแบบวิดีโอด้วย เอามาแปะไว้ข้างล่าง คงไม่เอามาเล่าซ้ำ
แต่ปัญหาอันนึงที่เจอก็คือ ตัว X-plorer มันไม่ค่อย stable เท่าไหร่ บางทีก็ปิดตัวเอง อัตโนมัติ ปิดแล้วก็เปิดไม่ได้อีก เปิดโปรแกรมอื่นก็ไม่ได้ แต่ไม่ต้องตกใจเพราะแค่ soft reset ก็หาย จากนั้นจึงค่อยเอาไฟล์ hack.rar กลับเข้ามา PC ผ่านทาง bluetooth extract ไฟล์ข้างในออกมา แล้วค่อยส่งกลับเข้าไปในโทรศัพท์อีกครั้ง ก็ได้ หรือจะใช้โปรแกรม extract ตัวอื่นในโทรศัพท์ก็ได้
หลังจากนั้นก็ค่อยเปิด file manager ตัวอื่นที่ stable กว่า (ผมใช้ Y-Browser) run HelloCarbide อีกครั้ง ก็จะเห็น hidden folders เหมือนเดิมแล้ว ค่อย copy file เข้าไป ใน \sys\bin
อีกแนวทางหนึ่ง ก็คือการ bypass การตรวจสอบโปรแกรมของโทรศัพท์ ไปซะเลย ทีนี้จะลงโปรแกรมที่ยังไม่ sign ก็ได้ ความพยายามในการ hack โทรศัพท์ก็มีหลายแนวทางด้วยกัน แต่วิธีการเกือบทั้งหมดต้องอาศัย PC Suite เชื่อมต่อเข้ากับ Windows PC ก็ลำบากอีก เพราะมีแต่ linux
วิธีการที่เหมาะที่สุด สำหรับผมก็คือ ทำโดยไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อกับ PC ซึ่งก็คือ การใช้ Drakkarious Package ซึ่งประกอบไปด้วยโปรแกรมที่ช่วยในการ hack 3-4 ตัวมาไว้ด้วยกัน download
สำหรับขั้นตอนในการทำนั้น เขียนไว้ค่อนข้างละเอียดใน document ของโปรแกรมแล้ว มีเป็นแบบวิดีโอด้วย เอามาแปะไว้ข้างล่าง คงไม่เอามาเล่าซ้ำ
แต่ปัญหาอันนึงที่เจอก็คือ ตัว X-plorer มันไม่ค่อย stable เท่าไหร่ บางทีก็ปิดตัวเอง อัตโนมัติ ปิดแล้วก็เปิดไม่ได้อีก เปิดโปรแกรมอื่นก็ไม่ได้ แต่ไม่ต้องตกใจเพราะแค่ soft reset ก็หาย จากนั้นจึงค่อยเอาไฟล์ hack.rar กลับเข้ามา PC ผ่านทาง bluetooth extract ไฟล์ข้างในออกมา แล้วค่อยส่งกลับเข้าไปในโทรศัพท์อีกครั้ง ก็ได้ หรือจะใช้โปรแกรม extract ตัวอื่นในโทรศัพท์ก็ได้
หลังจากนั้นก็ค่อยเปิด file manager ตัวอื่นที่ stable กว่า (ผมใช้ Y-Browser) run HelloCarbide อีกครั้ง ก็จะเห็น hidden folders เหมือนเดิมแล้ว ค่อย copy file เข้าไป ใน \sys\bin
Thursday, April 16, 2009
Skype on Ubuntu on Thinkpad R61 solutions
Replica of my post at http://forum.skype.com/index.php?showtopic=270961&view=findpost&p=1470111 with some screenshots
----
I'm using Ubuntu 8.10 Intrepid on Thinkpad R61 and I managed to get it work now (with Skype Test Call: echo123).
My problem started after installing Skype 2.0 for Linux. Skype reported "Audio Playback Problem" when I tried to make a call. This needs some adjustments before everything start working properly.
Solution: Go to Skype -> Options -> Sound Devices and Set Sound in/Sound out/Ringing to "pulse".
After this I can hear the voice from the other end of the line.
Next problem I encountered was: My voice didn't reach the other end.
Solution: It is something about Ubuntu "Capture" device, whose initial default is turned off and you can turn it on (for GNOME user) by: Go to Volume control preferences (Right click at speaker tray icon) -> Open Volume control -> Preferences -> Look for "Recording" devices (Mine are "Capture0" and "Capture1") and enable them and adjust the levels.
Another thing I manage to get the voice captured correctly is: Disabling "Allow Skype to automatically adjust my mixer levels"
Now my laptop can make a call properly. Hope this help.
----
I'm using Ubuntu 8.10 Intrepid on Thinkpad R61 and I managed to get it work now (with Skype Test Call: echo123).
My problem started after installing Skype 2.0 for Linux. Skype reported "Audio Playback Problem" when I tried to make a call. This needs some adjustments before everything start working properly.
Solution: Go to Skype -> Options -> Sound Devices and Set Sound in/Sound out/Ringing to "pulse".
After this I can hear the voice from the other end of the line.
Next problem I encountered was: My voice didn't reach the other end.
Solution: It is something about Ubuntu "Capture" device, whose initial default is turned off and you can turn it on (for GNOME user) by: Go to Volume control preferences (Right click at speaker tray icon) -> Open Volume control -> Preferences -> Look for "Recording" devices (Mine are "Capture0" and "Capture1") and enable them and adjust the levels.
Another thing I manage to get the voice captured correctly is: Disabling "Allow Skype to automatically adjust my mixer levels"
Now my laptop can make a call properly. Hope this help.
Thursday, April 02, 2009
Bluetooth file receiving ใน Ubuntu Intrepid
แม้ว่า Intrepid จะสามารถทำงานกับ bluetooth ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อถึงคราวใช้งานจริง ปรากฏว่า ไม่สามารถรับส่งไฟล์ผ่านทาง bluetooth ได้ ซึ่งต้องลง package เพิ่มเติม คือ
apt-get install gnome-bluetooth
หลังจากนี้ ที่เมนู Accessories จะปรากฏโปรแกรมชื่อ Bluetooth File Sharing เมื่อเปิดโปรแกรมก็จะมี tray icon ของโปรแกรมโผล่มาอีกอัน หลังจากนี้ก็สามารถใช้ bluetooth file transfer ได้ตามปกติ
ดองไว้นาน เพิ่งนึกได้ ก็พอดี Jaunty ออก beta version พอดี หวังว่าปัญหาคงได้รับการแก้ไขไปแล้ว
Saturday, March 28, 2009
Nokia E61i experiences: Gains & Losses
ล่าสุดได้มีโอกาสเปลี่ยนมาใช้ Nokia E61i ที่เป็น Symbian 60 3rd edition จึงขอมาแบ่งปันประสบการณ์การใช้งาน Nokia E61i เปรียบเทียบกับ Palm Treo 680 และ Windows Mobile (Dopod 818 pro ที่ลองมาทั้ง Windows Mobile 5, 6 และ 6.1) ที่เคยมีประสบการณ์ใช้งานมาก่อนหน้านี้ดู
Gains:
- Full Unicode support อันนี้คงเป็นการเปรียบเทียบกับ PalmOS โดยตรง ที่มีปัญหาในการสนับสนุนการใช้ unicode เพราะตัว OS ถูกพัฒนาให้รองรับแต่ ASCIIเท่านั้น ทำให้ภาษาไทยที่ใช้งานได้ ก็ถูกจำกัดอยู่ในระดับของ ASCII ไปด้วย
- Built-in mobile internet ที่สามารถใช้งานได้กว้างมากขึ้น เมื่อเทียบกับ Windows Mobile ที่มีตัวยืนพื้นเป็น Pocket Internet Explorer ที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการใช้งาน เข้าใจว่าขณะนี้ ช่องว่างตรงนี้แคบลงแล้วจาก 3rd party web browser อย่าง Opera Mini และน้องใหม่อย่าง Skyfire แต่ก็ต้องการพลัง CPU ที่สูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้เครื่องรุ่นเก่าอาจจะมีปัญหาในเรื่องความเร็วของการใช้งานอยู่บ้าง แต่สำหรับ E61i แล้ว มี web browser ที่มี engine สำหรับ render web page ที่พัฒนาต่อมาจาก Webkit ทำให้สามารถเปิดเวบที่มีความซับซ้อน ได้แบบเดียวกับเครื่อง PC ได้สบาย นอกจากนี้ก็ยังสามารถลง Opera Mini ได้เช่นเดียวกัน ส่วนของ Palm คงไม่ต้องพูดถึงเพราะ โดนจำกัดตั้งแต่การที่ตัว OS เอง ไม่สนับสนุนการ encoding ตัวอักษรแบบ unicode ทำให้การใช้งานภาษาไทย มีปัญหา อยู่แล้ว ในส่วนของตัว web browser เองก็ยังมีความสามารถที่จำกัด เหมาะสำหรับเปิด web ที่ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่เท่านั้น แม้ว่าจะสามารถติดตั้ง Opera Mini ลงบน JVM ได้ก็ตาม แต่ก็มีปัญหากับภาษาไทยอยู่ดี
- qwerty keyboard ที่สนับสนุนภาษาไทย อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว หลังจากที่ไปใช้ Palm Treo อยู่พักใหญ่ ด้วยเหตุผลเรื่องของความเร็วและความแม่นยำในการบันทึกข้อมูล เมื่อเทียบกับ touch screen หรือแม้แต่ graffiti ในส่วนของ E61i จำเป็นต้องลง driver ภาษาไทยเพิ่มเติม (ฟรี) แม้ว่า keyboard layout จะต้องทำความคุ้นเคยบ้าง เพราะมีแค่ 4 แถว และไม่มี screen ภาษาไทยที่ตัวแป้น ตอนนี้ในทุก OS ก็มีรุ่นที่มี qwerty keyboard ที่มีความสามารถในการ input ภาษาไทย มาเป็นตัวเลือกเหมือนกัน
- Wireless connectivity ที่สะดวกขึ้น - ในเรื่องของการเข้า internet ที่มีครบทั้ง GPRS, EDGE และ Wifi รวมอยู่ที่เดียวกันให้สามารถเลือกได้ทันทีเมื่อมีการร้องขอการเชื่อมต่อ ต่างกับ Windows Mobile ที่จะอิงการเชื่อมต่อแบบ EDGE/GPRS เป็นหลัก และการเปิดใช้งานดูเหมือนจะถูกแยกส่วนออกจาก wifi ส่วน Treo นั้นจะถือเป็นข้อด้อยที่ไม่สามารถใช้งาน wifi ได้เลย
- Battery life เป็นการแทบจะเลี่ยงไม่ได้เลย ที่ทั้ง Treo และ Dopod 818 pro จะต้องได้รับการชาร์จไฟทุกวัน ภายใต้การใช้งานประจำวัน แต่จากการที่ได้ลองใช้ E61i มาสักพักพบว่าน่าจะสามารถใช้งานได้ประมาณ 2 วันกว่า เพราะแม้จะลืมชาร์จบ้าง ก็ยังสามารถใช้งานข้ามวันได้สบาย ก็เลยยังไม่เคยใช้จนไฟหมดเสียที อาจจะเป็นเพราะระบบการ dim จอ LCD ที่ยืดหยุ่นกว่า ข้อสงสัยอีกอันคือ touchscreen นี่กินไฟเยอะหรือเปล่า หรือเป็นความสามารถในการประหยัดไฟเป็นของแต่ละ OS?
- Multitasking ที่มาพร้อมความเสถียร - สิ่งที่ดูเหมือนจะทดแทนความเป็น single tasking ของ Palm ก็คือตวามเร็วในการใช้งาน ในขณะที่ multitasking ของ Windows Mobile ก็ดูเหมือนจะสร้างจุดอ่อนได้ในเวลาเดียวกัน เพราะส่งผลไปถึงความเสถียรของระบบโดยรวม (ทั้งนี้ทั้งนั้นคงจะขึ้นอยู่กับ 3rd party software ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องด้วยส่วนหนึ่ง) จากประสบการณ์ส่วนตัว การ reset Windows Mobile วันละครั้งอาจเป็นเรื่องปกติถ้ามีการใช้งานมาก ๆ ในขณะที่ PalmOS ก็ออกอาการเพี้ยนแบบคาดเดา (และทำซ้ำไม่ได้) ในความถี่ที่มากกว่าโทรศัพท์มือถือทั่วไปอยู่พอสมควรทีเดียว แต่สำหรับ Symbian OS บน E61i นี่ค่อนข้างมีความเสถียรที่น่าประทับใจ เพราะตั้งแต่ใช้งานมายังไม่เคย crash จนใช้งานต่อไม่ได้ จะมีก็เพียงการปิดตัวไปเองของ software บางตัวที่คงจะทำงานผิดพลาดบ้าง แต่ก็สามารถใช้งานอย่างอื่นต่อไปได้ตามปกติ
- integrated J2ME ในส่วนของ Treo การใช้งาน โปรแกรม J2ME ต่าง ๆ ค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่พอสมควร และจะเป็นอัมพาตไปทันที เมื่อใช้งานคู่กับโปรแกรมภาษาไทย (IBM JVM กับ Thai-G หรือ ThaiPOS) ทางด้าน Windows Mobile แม้ว่าจะมีความเข้ากันได้กับ J2ME application มากกว่าก็ตาม ก็ยังอยู่ในลักษณะของการเป็นเพียงแค่ติ่งหนึ่งของ application ที่ถูก run ผ่าน virtual machine เท่านั้น ทำให้การเรียกใช้งานทำได้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่สำหรับ Symbian แล้วสามารถ run J2ME applications ได้เป็นหนึ่งเดียวกับ OS ชนิดที่แทบจะไม่มีความแตกต่างกับโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาบน Symbian เลย ถือเป็นการเปิดโลกการใช้งาน software ในอีกรูปแบบหนึ่ง
- Touch screen - ทั้ง PalmOS และ Windows Mobile ต่างก็มีความสามารถในการใช้หน้าจอ touch screen เมื่อเปลี่ยนมาเป็น E61i แล้ว การ navigation จึงจำเป็นต้องใช้ 5-way navigational pad แทน แต่สำหรับเรื่องการใช้ keyboard ในการกระโดดไปตามที่ต่าง ๆ แล้ว Treo ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องความคล่องตัว
- Application ที่ใช้อยู่เดิม อย่าง iSilo แม้ว่าจะมี version สำหรับ Symbian แต่ก็ถูกพัฒนาแบบตามหลัง version สำหรับ Palm และ Windows Mobile ทำให้ขาดความสามารถบางอย่างที่ยังไม่ครบถ้วนเท่า เช่นการเปลี่ยน color theme หรือแม้แต่โปรแกรมเฉพาะทางที่ดูเหมือนว่า PalmOS กับ Windows Mobile จะมีมากกว่า แต่ก็ได้โปรแกรมอย่าง StyleTap ที่โฆษณาว่าสามารถ run โปรแกรมของ PalmOS ได้ ช่วยให้พออุ่นใจได้บ้าง (แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีปัญหากับโปรแกรมที่ต้องการใช้อยู่ เอาไว้มีเวลาคงต้องลองอีกที)
- Chat-styled SMS - เป็นระบบที่มีมาอยู่แล้วใน iPhone, Treo และ Windows Mobile ตั้งแต่ version 6 เป็นต้นมา แต่สำหรับ E61i แล้วการใช้งานยังคงเป็นแบบเดิม คือ sms ที่ได้รับมา จะมากองอยู่ในรายการเดียวกันเช่นเดียวกับโทรศัพท์ทั่วไป ทำให้ยังคิดถึงการใช้งานในรูปแบบของ chat ทุกครั้งที่ใช้งาน
โดยสรุปการเปลี่ยนมาเป็น Nokia E61i ในครั้งนี้ ทำให้สามารถใช้ mobile internet ได้คล่องตัวมากขึ้น และได้กลับมาใช้ qwerty keyboard อีกครั้ง แต่ยังคงต้องปรับตัวในส่วนของการใช้งาน application ต่าง ๆ เพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป
สำหรับคนที่สนใจเครื่องในตระกูลที่มี keyboard แบบ qwerty ของ Nokia มีรุ่นใหม่ออกมาอีก 2 รุ่น ก็คือ E71 ที่สนับสนุนภาษาไทย และ screen keyboard ไทยมาในตัว และได้ความสามารถ GPS (ไม่ได้ใช้) และ 3G (ไม่รู้จะได้ใช้เมื่อไหร่) กับรุ่นที่ย่อมลงมาคือ E63 ที่ไม่มี GPS และ 3G
Wednesday, March 18, 2009
Star wars: Jedi Twilight -- ยุคมืดของเจไดในเงื้อมมือของจักรวรรดิ
สถานการณ์ของกาแล็คซีหลังการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ Chancellor Palpatine โดยมี Anakin Skywalker ที่แปรสภาพไปเป็น Darth Vader เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การกวาดล้างอัศวินเจได ภายใต้คำสั่งหมายเลข 66 (Order 66) ก็ยังคงดำเนินต่อไป บรรดาอัศวินเจได ที่ยังหลงเหลืออยู่ต่างก็หนีหัวซุกหัวซุนให้พ้นจากเงื้อมมือของ Darth Vader ไปคนละทิศละทาง
Jedi Twilight เป็นเล่มแรกในซีรีย์ Coruscant Nights เล่าถึงการเสี่ยงชีวิตปฏิบัติภารกิจของ "Jax Pavan" เจไดหนุ่ม เพื่อนร่วมรุ่น Padawan มากับ Anakin Skywalker ลูกศิษย์ของ Even Piell บนดาว Coruscant ที่เป็นศูนย์กลางของกาแล็คซี และเป็นอดีตที่ตั้งของ Jedi Council ที่ดูเหมือนว่า อัศวินเจไดทั้งหลายจะถูกกวาดล้างจนสิ้นซากไปแล้ว ภายใต้เงามืดของตึกสูงระฟ้าบนดาวมหานครที่แม้แต่เงื้อมมือของจักรวรรดิก็ยังไม่สามารถเอื้อมไปถึง ด้วยการยึดอาชีพของนักล่าค่าหัว ให้ก้บกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ บังหน้า ไปพร้อม ๆ กับการเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของ Darth Vader ที่ดูเหมือนจะตั้งใจ "จับเป็น" เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่ยังไม่ปรากฏชัด ในรูปแบบของแมวไล่จับหนู
นอกจากเป็นการแนะนำตัวเอกใหม่สำหรับซีรีย์แล้ว เนื้อเรื่องก็ยังกล่าวเกี่ยวพันไปถึงความเป็นมาของ Prince Xizor ดาวเด่นในแวดวงอาชญากร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจในซีรีย์ Shadows of the Empire และการแนะนำ class ใหม่ของเจได อย่าง Jedi Paladin ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธสารพัดรูปแบบ รวมไปถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นอกเหนือไปจากการใช้ light saber ตามแบบฉบับของ Jedi Knight ทั่วไป
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Michael Raeves ที่เคยสร้างชื่อจากการเป็น coauthor ของ Star wars: Death Star มาแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับประสบการณ์ของหนังสือเล่มนี้ คนที่ชอบฉากแสงสีตื่นตายามราตรีในเมืองที่ไม่เคยหลับแบบที่ปรากฏใน Blade Runner คงจะพอช่วยคลายเหงาไปได้บ้าง แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับคนที่คาดหวังที่จะได้อ่าน ฉากนักสืบสวมเสื้อโค้ทตัวโคร่ง ยืนอยู่ใต้แสงไฟสลัว อย่างคำโปรยโฆษณาที่ปรากฏบนปกหลังของหนังสือ ที่ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาข้างในสักเท่าไหร่
Jedi Twilight เป็นเล่มแรกในซีรีย์ Coruscant Nights เล่าถึงการเสี่ยงชีวิตปฏิบัติภารกิจของ "Jax Pavan" เจไดหนุ่ม เพื่อนร่วมรุ่น Padawan มากับ Anakin Skywalker ลูกศิษย์ของ Even Piell บนดาว Coruscant ที่เป็นศูนย์กลางของกาแล็คซี และเป็นอดีตที่ตั้งของ Jedi Council ที่ดูเหมือนว่า อัศวินเจไดทั้งหลายจะถูกกวาดล้างจนสิ้นซากไปแล้ว ภายใต้เงามืดของตึกสูงระฟ้าบนดาวมหานครที่แม้แต่เงื้อมมือของจักรวรรดิก็ยังไม่สามารถเอื้อมไปถึง ด้วยการยึดอาชีพของนักล่าค่าหัว ให้ก้บกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ บังหน้า ไปพร้อม ๆ กับการเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของ Darth Vader ที่ดูเหมือนจะตั้งใจ "จับเป็น" เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่ยังไม่ปรากฏชัด ในรูปแบบของแมวไล่จับหนู
นอกจากเป็นการแนะนำตัวเอกใหม่สำหรับซีรีย์แล้ว เนื้อเรื่องก็ยังกล่าวเกี่ยวพันไปถึงความเป็นมาของ Prince Xizor ดาวเด่นในแวดวงอาชญากร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจในซีรีย์ Shadows of the Empire และการแนะนำ class ใหม่ของเจได อย่าง Jedi Paladin ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธสารพัดรูปแบบ รวมไปถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นอกเหนือไปจากการใช้ light saber ตามแบบฉบับของ Jedi Knight ทั่วไป
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Michael Raeves ที่เคยสร้างชื่อจากการเป็น coauthor ของ Star wars: Death Star มาแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับประสบการณ์ของหนังสือเล่มนี้ คนที่ชอบฉากแสงสีตื่นตายามราตรีในเมืองที่ไม่เคยหลับแบบที่ปรากฏใน Blade Runner คงจะพอช่วยคลายเหงาไปได้บ้าง แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับคนที่คาดหวังที่จะได้อ่าน ฉากนักสืบสวมเสื้อโค้ทตัวโคร่ง ยืนอยู่ใต้แสงไฟสลัว อย่างคำโปรยโฆษณาที่ปรากฏบนปกหลังของหนังสือ ที่ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาข้างในสักเท่าไหร่
Sunday, March 01, 2009
Red-shirted rally: A Retrospect
ช่วงนี้ไม่ได้ตามข่าวทุกวัน เลยได้มาอ่านข่าวย้อนหลัง
Red shirts to rally at least 24 hours: Jakrapob
5 days ago, 19:02
Red shirts staging "mini" rally at MFA
3 days ago, 3:46
Red shirts to hold mini rally at NCCC
3 days ago, 23:17
UDD vows protracted campaign
United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) demonstrators besieging the prime minister's office vowed a "protracted" campaign to unseat the government as their rally entered a third day Thursday, threatening further turmoil on the eve of a key summit.
2 days ago, 7:13
Red-shirted people disperse
Yesterday, 18:43
ง่าย ๆ ซะงั้น
Red shirts to rally at least 24 hours: Jakrapob
5 days ago, 19:02
Red shirts staging "mini" rally at MFA
3 days ago, 3:46
Red shirts to hold mini rally at NCCC
3 days ago, 23:17
UDD vows protracted campaign
United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) demonstrators besieging the prime minister's office vowed a "protracted" campaign to unseat the government as their rally entered a third day Thursday, threatening further turmoil on the eve of a key summit.
2 days ago, 7:13
Red-shirted people disperse
Yesterday, 18:43
ง่าย ๆ ซะงั้น
File sharing ระหว่าง Linux host กับ Windows บน VirtualBox
ขั้นตอนการทำ file sharing ระหว่าง Linux กับ Windows ที่ run อยู่บน VirtualBox เพื่อให้สามารถโอนถ่ายข้อมูลถึงกันได้ง่ายขึ้น
1. กำหนด directory ที่จะทำการ share เช่น ~/shared บน Linux ที่เป็น host
2. เปิด VirtualBox เข้า Settings ในส่วน Windows session ที่ต้องการ
3. ที่ Shared Folders ทำการเพิ่ม รายการใหม่เข้าไป โดยใช้ icon ทางซ้ายมือ เลือก directory ของ Linux host ที่เตรียมไว้ในข้อ 1.
4. เปิด Windows session ขึ้นมา รอจน boot เสร็จ เข้าไปที่เมนู Devices -> Install Guest Additions เพื่อทำการลง package เพิ่มเติม VirtualBox จะทำการ download iso image file มาลงไว้ในเครื่อง (ขนาดไฟล์ 26 MB โดยประมาณ ถ้ามีปัญหา สามารถ download ได้โดยตรงที่ http://download.virtualbox.org/virtualbox/2.0.4/VBoxGuestAdditions_2.0.4.iso แล้วนำมาใส่ใน directory /usr/share/virtualbox)
5. ทำการ mount iso image drive แล้ว setup Guest Additions เสมือนว่าเป็นแผ่น CD สำหรับ install โปรแกรม
6. ทำ Network Drive Mapping จากเมนู Tools -> Map Network Drive ในหน้าต่าง My Computer หรือ Windows Explorer
9. ทีนี้ Windows ก็จะสามารถเข้าถึง shared folder ได้ โดยไปที่ My Computer ก็จะปรากฏ drive ที่มีชื่อว่า shared on vboxsvr
1. กำหนด directory ที่จะทำการ share เช่น ~/shared บน Linux ที่เป็น host
2. เปิด VirtualBox เข้า Settings ในส่วน Windows session ที่ต้องการ
3. ที่ Shared Folders ทำการเพิ่ม รายการใหม่เข้าไป โดยใช้ icon ทางซ้ายมือ เลือก directory ของ Linux host ที่เตรียมไว้ในข้อ 1.
4. เปิด Windows session ขึ้นมา รอจน boot เสร็จ เข้าไปที่เมนู Devices -> Install Guest Additions เพื่อทำการลง package เพิ่มเติม VirtualBox จะทำการ download iso image file มาลงไว้ในเครื่อง (ขนาดไฟล์ 26 MB โดยประมาณ ถ้ามีปัญหา สามารถ download ได้โดยตรงที่ http://download.virtualbox.org/virtualbox/2.0.4/VBoxGuestAdditions_2.0.4.iso แล้วนำมาใส่ใน directory /usr/share/virtualbox)
5. ทำการ mount iso image drive แล้ว setup Guest Additions เสมือนว่าเป็นแผ่น CD สำหรับ install โปรแกรม
6. ทำ Network Drive Mapping จากเมนู Tools -> Map Network Drive ในหน้าต่าง My Computer หรือ Windows Explorer
7. ที่ Drive: เลือกอักษร drive ที่ต้องการ และที่ Folders ให้เข้าไปที่ My Network Places -> Microsoft Windows Network -> VirtualBox Shared Folders จะปรากฏรายการ Shared Folders ที่ได้ตั้งค่าเอาไว้ในข้อ 3.
8. กด OK, Finish9. ทีนี้ Windows ก็จะสามารถเข้าถึง shared folder ได้ โดยไปที่ My Computer ก็จะปรากฏ drive ที่มีชื่อว่า shared on vboxsvr
Friday, February 20, 2009
My attempt to revive Twitter SMS
ความขัดใจเริ่มต้นจาก Twitter เลิกส่ง SMS มาที่ประเทศไทย แม้ว่าจะมีบริการแบบเดียวกันอย่าง Noknok ที่สามารถส่ง SMS ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้เช่นเดียวกัน แต่ผู้ใช้ก็ถูกจำกัดอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ในขณะที่ Twitter มีคนใช้อยู่ทั่วโลก
ปัญหา คือทำยังไงให้ สามารถรับ Twitter status update และ direct message ได้เหมือนเดิม?
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสขุดค้นระบบ API ของ Noknok ซึ่งทดสอบแล้วสามารถใช้งานได้ดี และ Twitter ก็มี API เช่นเดียวกัน ก็เลยลองทดสอบ relay ข้อความจาก twitter ให้มาขึ้นที่ Noknok ปรากฏว่าได้ผล
ตอนนี้แจกจ่ายให้เพื่อน ๆ ทดสอบ ใช้งานได้ดี สามารถรับ Twitter message เข้าทางโทรศัพท์มือถือได้ เสียดายตรงที่โควต้า SMS ของ Noknok ได้แค่ 250 ครั้ง/เดือนเท่านั้น น้อยกว่า Twitter ก่อนโน้น 4 เท่า
ถ้าใครสนใจ มาร่วมทดสอบได้ที่ http://www.neewok.com/ ครับ ใช้งานฟรี แถมบริการ RSS feeds-Noknok ให้ทดสองใช้ด้วยครับ
ปัญหา คือทำยังไงให้ สามารถรับ Twitter status update และ direct message ได้เหมือนเดิม?
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสขุดค้นระบบ API ของ Noknok ซึ่งทดสอบแล้วสามารถใช้งานได้ดี และ Twitter ก็มี API เช่นเดียวกัน ก็เลยลองทดสอบ relay ข้อความจาก twitter ให้มาขึ้นที่ Noknok ปรากฏว่าได้ผล
ตอนนี้แจกจ่ายให้เพื่อน ๆ ทดสอบ ใช้งานได้ดี สามารถรับ Twitter message เข้าทางโทรศัพท์มือถือได้ เสียดายตรงที่โควต้า SMS ของ Noknok ได้แค่ 250 ครั้ง/เดือนเท่านั้น น้อยกว่า Twitter ก่อนโน้น 4 เท่า
ถ้าใครสนใจ มาร่วมทดสอบได้ที่ http://www.neewok.com/ ครับ ใช้งานฟรี แถมบริการ RSS feeds-Noknok ให้ทดสองใช้ด้วยครับ
Friday, February 13, 2009
การ setup ภาษาไทย ใน Linpus Lite: Acer Aspire One
เมื่อวานได้มีโอกาสจับ Acer Aspire One ที่ OS เป็น Linux (Linpus Lite distro) อยู่ หน้าตาก็คล้ายกับ Xandros ของ Asus eee
แต่สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นคือ เจ้าตัว Linpus lite นี้มันไม่ได้สนับสนุนภาษาไทยมาในตอนแรกหลังจากติดตั้งเสร็จ และเช่นเดียวกับ Asus eee ที่ setting menu ต่าง ๆ ถูกซ่อนเอาไว้ในตอนแรก แถมเข้าไปหา Thaipatch ที่มีคนเคย post ไว้ใน web site ของ Acer Thailand ก็ขึ้น not found ซะอีก
เข้า terminal
สามารถทำได้โดย ไปที่ Files -> My Documents -> File menu -> Terminal
เปิด advanced mode
ตัว Desktop manager ที่ Linpus Lite ใช้คือ Xfce ซึ่ง menu จะถูกซ่อนเอาไว้ สามารถ enable ได้โดย
การทำภาษาไทยให้สามารถใช้งานได้
ทำได้โดยใช้วิธีการ set keyboard layout แบบที่เคยเล่าเอาไว้บางส่วนแล้วใน Linux keyboard layout โดยการ
การ disable SCIM input
มันเป็นเครื่องมือช่วยพิมพ์ภาษาจีน ญี่ปุ่น ภาษาไทยไม่ได้ใช้
การ disable ทำได้โดย click ขวาที่ icon SCIM input ใน tray icon เลือก settings แล้วเอาเครื่องหมายถูกออกจากหน้า Show stick icon แล้วก็ click OK
แต่สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นคือ เจ้าตัว Linpus lite นี้มันไม่ได้สนับสนุนภาษาไทยมาในตอนแรกหลังจากติดตั้งเสร็จ และเช่นเดียวกับ Asus eee ที่ setting menu ต่าง ๆ ถูกซ่อนเอาไว้ในตอนแรก แถมเข้าไปหา Thaipatch ที่มีคนเคย post ไว้ใน web site ของ Acer Thailand ก็ขึ้น not found ซะอีก
เข้า terminal
สามารถทำได้โดย ไปที่ Files -> My Documents -> File menu -> Terminal
เปิด advanced mode
ตัว Desktop manager ที่ Linpus Lite ใช้คือ Xfce ซึ่ง menu จะถูกซ่อนเอาไว้ สามารถ enable ได้โดย
- การ run xfce-setting-show บน terminal -> Click ที่ Desktop
- ติ๊กที่หน้าช่อง Open menu on Right click
การทำภาษาไทยให้สามารถใช้งานได้
ทำได้โดยใช้วิธีการ set keyboard layout แบบที่เคยเล่าเอาไว้บางส่วนแล้วใน Linux keyboard layout โดยการ
- เปิด text editor เพืื่อแก้ไขไฟล์ /etc/X11/xorg.conf โดยใช้สิทธิ์ root
- ไปที่ section
Section "InputDevice"
Identifier "Generic Keyboard" - ที่บรรทัด XkbLayout เป็นข้อความจาก "us,gb" เป็น "us,th"
- Save ไฟล์ และ restart เครื่อง หรือ reboot xserver
- การสลับภาษาใช้ Alt-Shift เป็น default
การ disable SCIM input
มันเป็นเครื่องมือช่วยพิมพ์ภาษาจีน ญี่ปุ่น ภาษาไทยไม่ได้ใช้
การ disable ทำได้โดย click ขวาที่ icon SCIM input ใน tray icon เลือก settings แล้วเอาเครื่องหมายถูกออกจากหน้า Show stick icon แล้วก็ click OK
Tuesday, February 10, 2009
Plasma crash ใน KDE 4.1
เพิ่งเจอปัญหา Plasma ใน KDE 4.1 crash ทุกครั้ง หลังจาก restart เล่นเอา boot ไม่ขึ้น นึกว่าต้อง install ใหม่ซะแล้ว (ว่าจะลง Ubuntu แทนที่ Kubuntu ซะเลย โทษฐานขาด ๆ เกิน ๆ)
วิธีแก้ปัญหา คือ ไปลบไฟล์ configuration ของ Plasma ทิ้ง ซึ่งจะอยู่ต่างกันไปในแต่ละ version ใน Interpid จะย้ายมาอยู่ที่ directory ~/.kde แล้ว ในขณะที่ version ก่อนหน้าจะอยู่ที่ ~/.kde4 ไฟล์ที่ว่าก็คึอ ~/.kde/share/config/plasma-appletrc และ ~/.kde/share/config/plasmarc
แปลงเป็น คำสั่งบน shell
rm ~/.kde/share/config/plasma-appletrc
rm ~/.kde/share/config/plasmarc
หลังจากนั้นก็ restart หรือ reset x-server ด้วยการ Ctrl-Alt-Bkspace plasma ก็จะกลับมา ทำงานได้ แต่ setting ที่เคยทำเอาไว้ก็จะหายไปหมด แต่ก็ยังดีกว่าลงใหม่
วิธีแก้ปัญหา คือ ไปลบไฟล์ configuration ของ Plasma ทิ้ง ซึ่งจะอยู่ต่างกันไปในแต่ละ version ใน Interpid จะย้ายมาอยู่ที่ directory ~/.kde แล้ว ในขณะที่ version ก่อนหน้าจะอยู่ที่ ~/.kde4 ไฟล์ที่ว่าก็คึอ ~/.kde/share/config/plasma-appletrc และ ~/.kde/share/config/plasmarc
แปลงเป็น คำสั่งบน shell
rm ~/.kde/share/config/plasma-appletrc
rm ~/.kde/share/config/plasmarc
หลังจากนั้นก็ restart หรือ reset x-server ด้วยการ Ctrl-Alt-Bkspace plasma ก็จะกลับมา ทำงานได้ แต่ setting ที่เคยทำเอาไว้ก็จะหายไปหมด แต่ก็ยังดีกว่าลงใหม่
Sunday, January 18, 2009
The Last Days of Krypton ตำนาน Superhero ที่ไม่มี Superhero
นับตั้งแต่ Superman ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 พร้อมก้บตำนานของทารกจากดาว Krypton ที่ถูกจับใส่ในยานอวกาศ มายังโลกตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ และเติบโตขึ้นบนโลกมนุษย์พร้อมกับความสามารถพิเศษ ที่กลายมาเป็นฉายา "The Last Son of Krypton" และ "The Man of Steel" ตำนานความเป็นมาของดาว Krypton ยังคงเป็นปริศนามาตลอด
The Last Days of Krypton เป็นเรื่องราวของผู้คนบนดาว Krypton ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ดาว Krypton จะถึงกาลอวสาน ซึ่งบ้างก็ว่าถูกอุกกาบาตพุ่งชน บ้างก็ว่าเกิดจากการระเบิดของ supernova ของระบบสุริยะนั้น บ้างก็ว่าเป็นจากภูเขาไฟระเบิด บ้างก็ว่าถูกทำลายจากสงครามของผู้คนบนดาวดวงนั้นเอง บุคคลที่ทำหน้าที่ดำเนินเรื่องคือ Jor-El พ่อของ Kal-El (ก็คือ Clark Kent หรือ Superman ในเวลาต่อมา) นักวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งของดาว Krypton และ Genereal Zod ซึ่งกลายมาเป็นคู่ปรับตลอดกาลของ Superman ในเวลาต่อมา แม้ว่าดาว Krypton จะไม่คงอยู่แล้วก็ตาม
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Kevin J. Anderson อีก 1 ตำนานของนิยายวิทยาศาสตร์ ที่มีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาล Science fiction ในตำนาน อย่าง Dune prequels และ Sequels และ Starwars มาแล้ว เล่าถึงความขัดแยังทางด้านการเมืองของชาว Krypton และภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวาระสุดท้ายของดาว Krypton ซึ่งเป็นที่มาของการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ General Zod
แม้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตำนานของ Superhero ก็ตาม แต่บุคคลที่ปรากฏในเรื่องนี้ไม่มีใครที่มีพลังเหนือคนธรรมดา แต่เป็น Science fiction ที่เล่าถึงความเป็นมาของผู้คนบนดาว Krypton โดยมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนดความเป็นไป แต่ก็ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไขว่คว้าหาอำนาจในขณะเดียวกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่เป็น Sci-fi หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงสำหรับสาวกของ Superman เท่านั้น แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปอีกด้วย
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกเราก็คือ ความทะเยอทะยานของคนสามารถนำความวิบัติมาสู่สังคมได้อย่างน่าคิด แต่ก็ยังมีสิ่งที่สามารถทำความเสียหายได้ยิ่งใหญ่กว่าอย่างคาดไม่ถึง
The Last Days of Krypton เป็นเรื่องราวของผู้คนบนดาว Krypton ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ดาว Krypton จะถึงกาลอวสาน ซึ่งบ้างก็ว่าถูกอุกกาบาตพุ่งชน บ้างก็ว่าเกิดจากการระเบิดของ supernova ของระบบสุริยะนั้น บ้างก็ว่าเป็นจากภูเขาไฟระเบิด บ้างก็ว่าถูกทำลายจากสงครามของผู้คนบนดาวดวงนั้นเอง บุคคลที่ทำหน้าที่ดำเนินเรื่องคือ Jor-El พ่อของ Kal-El (ก็คือ Clark Kent หรือ Superman ในเวลาต่อมา) นักวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งของดาว Krypton และ Genereal Zod ซึ่งกลายมาเป็นคู่ปรับตลอดกาลของ Superman ในเวลาต่อมา แม้ว่าดาว Krypton จะไม่คงอยู่แล้วก็ตาม
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Kevin J. Anderson อีก 1 ตำนานของนิยายวิทยาศาสตร์ ที่มีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาล Science fiction ในตำนาน อย่าง Dune prequels และ Sequels และ Starwars มาแล้ว เล่าถึงความขัดแยังทางด้านการเมืองของชาว Krypton และภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวาระสุดท้ายของดาว Krypton ซึ่งเป็นที่มาของการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ General Zod
แม้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตำนานของ Superhero ก็ตาม แต่บุคคลที่ปรากฏในเรื่องนี้ไม่มีใครที่มีพลังเหนือคนธรรมดา แต่เป็น Science fiction ที่เล่าถึงความเป็นมาของผู้คนบนดาว Krypton โดยมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนดความเป็นไป แต่ก็ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไขว่คว้าหาอำนาจในขณะเดียวกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่เป็น Sci-fi หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงสำหรับสาวกของ Superman เท่านั้น แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปอีกด้วย
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกเราก็คือ ความทะเยอทะยานของคนสามารถนำความวิบัติมาสู่สังคมได้อย่างน่าคิด แต่ก็ยังมีสิ่งที่สามารถทำความเสียหายได้ยิ่งใหญ่กว่าอย่างคาดไม่ถึง
Saturday, January 03, 2009
ประหยัดค่า GPRS/EDGE: ให้ Windows Mobile disconnect อัตโนมัติ
เนื่องจากกติกาการใช้งาน GPRS/EDGE ในประเทศไทย ไม่เหมือนที่อื่น เพราะคิดอัตราการใช้งานเป็นช่วงเวลา แทนที่จะเป็นจำนวนข้อมูลที่รับส่ง (เพราะประหยัดกว่า?) และเพื่อให้การใช้งาน เป็นไปอย่างคุ้มค่าก็เลยต้องหาวิธีทำให้โทรศัพท์ disconnect GPRS/EDGE โดยอัตโนมัติ เมื่อไม่ได้ไช้งาน
สำหรับ Windows Mobile 6 สามารถทำได้โดย แก้ registry ที่
HKEY_LOCAL_MACHINE\Comm\ComMgr\Planner\Settings\
จำนวน 2 item คือ
แก้เสร็จก็ลอง soft reset ดูสักรอบว่าค่าที่ตั้งไว้ยังอยู่หรือเปล่า เพื่อความแน่ใจ
เท่านี้ก็สามารถตั้งเวลาดึง content สำหรับ RSS หรือ E-mail ได้โดยไม่ต้องกังวลใจแล้ว
สำหรับ Windows Mobile 6 สามารถทำได้โดย แก้ registry ที่
HKEY_LOCAL_MACHINE\Comm\ComMgr\Planner\Settings\
จำนวน 2 item คือ
- SuspendResume: จากค่า default: ~GPRS! เป็น GPRS_bye_if_device_off
- CacheTime: ใส่จำนวนวินาทีที่ต้องการให้ disconnect เมื่อไม่ได้ใช้งาน
แก้เสร็จก็ลอง soft reset ดูสักรอบว่าค่าที่ตั้งไว้ยังอยู่หรือเปล่า เพื่อความแน่ใจ
เท่านี้ก็สามารถตั้งเวลาดึง content สำหรับ RSS หรือ E-mail ได้โดยไม่ต้องกังวลใจแล้ว
Subscribe to:
Posts (Atom)